ก้าวต่อไปของโครงการเล็กๆ ที่หวังจะเป็นส่วนเชื่อมสังคมเมืองเข้ากับวิถีประมงพื้นบ้านผ่านร้าน “ปลาออร์แกนิก”
ย้อนกลับไป ในช่วงต้นของการขยายตัวแนวคิดออร์เกนิกในบ้านเรา ในยุคนั้น ส่วนใหญ่ก็จะนึิกถึงพืชผักผลไม้ หรือปศุสัตว์ โดยน้อยคนนักที่จะคิดถึง “ประมงอินทรีย์” และต้องยอมรับว่า ส่วนหนึ่งที่สังคมเมืองได้รู้จักกับอาหารทะเลและสัตว์น้ำออร์แกนิก ก็ด้วยแรงผลักดันของ “โครงการประมงพื้นบ้าน-สัตว์น้ำอินทรีย์” ที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2556 และต่อเนื่องมาถึงวันนี้ โดยทำงานร่วมกับ 7 ชุมชนชาวประมงในจังหวัด ตั้งแต่ เพชรบุรี กระบี่ ปัตตานี พัทลุง สงขลา พังงา สตูล
ถ้ามองเผินๆ โครงการดังกล่าวก็อาจเป็นแค่ “ตัวกลาง” ที่เป็นข้อต่อให้ผู้บริโภคในกรุงเทพฯ ได้ซื้อสินค้าปลาของชาวประมงพื้นบ้านซึ่งทั้งปลอดภัย ไร้สารเคมีโดยเฉพาะฟอร์มาลีน ในราคาสมเหตุสมผลในทั้งสองฝั่ง ด้วยการตัดเส้นทางการตลาดแบบเดิมๆ ออกไป แต่ในความเป็นจริง วัตถุประสงค์ของโครงการฯ คือ ต้องการให้ชาวประมงพื้นบ้านได้รับการมองเห็น โดยเฉพาะในประเด็นที่ว่า พวกเขาคือกลุ่มคนซึ่งมีวิถีในการอนุรักษ์ ทั้งการจับปลาตามฤดูกาล ใช้เครื่องมือที่เป็นมิตร ไม่ทำลายล้าง
“โจทย์ของเรา คือ ทำอย่างไรให้ชาวประมงพื้นบ้านมีเสียง มีที่ยืนในสังคมไทย ทำอย่างไรให้คนเมืองได้กินอาหารทะเลดีๆ เพราะระหว่างการเดินทางของอาหารทะเล นอกจากค่าการตลาดที่หายไป คุณค่าของอาหารก็ตกหล่นไประหว่างทางด้วยเช่นเดียวกัน แล้วเราอยากเห็นสังคมไทยมีทางเลือกในเรื่องอาหาร เพราะเชื่อว่า ถ้าคนมีทางเลือก เขาจะเลือก มันจะเกิดแรงกระเพื่อมไปเรื่อยๆ” ดร.สุภาภรณ์ อนุชิราชีวะ ผู้นำเครือข่ายรักษ์ปลา-รักษ์ทะเล กล่าวถึงโครงการซึ่งดำเนินงานในนามมูลนิธิสายใยแผ่นดิน โดยได้งบสนับสนุนจากสหภาพยุโรป
- กินเพื่อ Vs กินเผื่อ
ด้วยความที่ตั้งใจจะขายสินค้าที่สดจริงๆ กระบวนการขนส่งจึงเลือกที่จะไม่แช่แข็งสินค้า นั่งจึงหมายถึงการจัดการหลังร้านที่ต้องดีและแม่นยำ
“เรานำสินค้าขึ้นมาสัปดาห์ละ 2 ครั้ง และอยู่ได้ 3 วัน เราไม่แช่แข็ง เพราะอยากให้ลูกค้าได้กินของสด เราจัดการมากหน่อย แต่เราเชื่อว่า ของสดดีกว่า แล้วเราไม่สักแต่ว่า อยากขายของ แต่เราขายสิ่งที่เราคิดว่า ผู้บริโภคควรจะเรียนรู้ ถ้าเขาอยากกินของเรา อาทิตย์นึง มาเจอกัน ไม่ใช่จะมาขอซื้อวันละครึ่งโล วันละสามขีด ซึ่งเราจัดการไม่ได้ เพราะฉะนั้น อาทิตย์นึงมาเจอกัน ซื้อกลับไปโฟรสเซ่นเอง คุณภาพไม่ต่าง” ดร.สุภาภรณ์ เล่าถึงกระบวนการจัดการที่ผ่านมา
หลังจากดำเนินการ ต่างฝ่ายต่างได้เรียนรู้กัน ขณะที่ทีมงานได้เรียนรู้ตลาด ฝั่งผู้บริโภคก็เข้าใจวิถีประมงพื้นบ้านมากขึ้น
“ลูกค้าเรา อย่าง โรงแรมแกรนด์ไฮแอท เอราวัณ ตอนที่เขาติดต่อมาครั้งแรก เขาถามหาไซส์มาตรฐาน เราตอบว่า ไม่มี เพราะมันขึ้นอยู่ว่า ชาวบ้านจะจับได้ไซส์ไหนมา พอถามหาการันตีปริมาณ เราก็ทำให้ไม่ได้อีก แต่เขาก็บอกว่า ไม่เป็นไร ก็แก้ปัญหาโดยสต็อกสินค้า หรือถ้าได้ไซส์ใหญ่เกินไป ก็เสิร์ฟแบบแล่ เป็นต้น แล้วเขายังใส่โลโก้ ปลาออร์แกนิก เข้าไปในเมนูเพื่ออธิบายให้ลูกค้าได้ทราบด้วยว่า ถ้าคุณสั่งเมนูนี้ คุณจะได้ทานปลาที่ส่งตรงจากชาวประมงพื้นบ้านด้วย
อันนี้เป็นสิ่งที่เราชื่นใจมาก เพราะความเข้าใจของผู้บริโภคที่ยอมรับในวิถีประมงพื้นบ้าน คือ สิ่งสำคัญ เขาต้องยอมรับว่า เราไม่สามารถการันตีปริมาณหรือขนาดของสินค้าได้ หรือแม้กระทั่งชนิดของสินค้าได้ นอกจากนี้ ผู้บริโภคยังต้องรู้จักการทานสินค้าทดแทน ปลานี้ไม่มี ก็เปลี่ยนไปกินปลาอื่น”
หรืออย่างร้านอาหารชื่อดังอย่าง “โบ.ลาน” ที่เป็นลูกค้าของเครือข่ายฯ มาสามปีแล้ว โดย 99 เปอร์เซ็นต์ของวัตถุดิบที่ร้านใช้เป็นสินค้าที่มาจากความยั่งยืน เมื่อถามถึงสาเหตุที่เลือกสั่งซื้อสินค้าจากเครือข่ายฯ ซึ่งอาจทำให้งานหลังร้านต้องยุ่งยากกว่า เพราะคาดการณ์ล่วงหน้าไม่ได้
เรื่องนี้ ดีแลน โจนส์ เชฟและเจ้าของร้านอาหารโบ.ลาน ตอบสั้นๆ แต่ได้ใจความว่า
“เราอยากสนับสนุนชุมชน และอยากให้ลูกค้าได้กินอาหารดีๆ เรื่องนี้ไม่ต้องคิดเยอะเลย เพราะมันเป็นสิ่งที่ถูกต้องอยู่แล้ว”
เสริมอีกรอบ โดย ดร.สุภาภรณ์ ที่บอกว่า ไทยมีชายฝั่งทะเลที่ยาวมาก และอุดมสมบูรณ์ แต่การใช้ทรัพยากรของเราไม่ค่อยระวัง ทำให้ทรัพยากรหมดไป สิ่งที่เครือข่ายทำ คือ ต้องการชักชวนให้กลับมาหาวิถีอาหารปลอดภัย ไม่ใช่แค่เรื่องสุขภาพ แต่มันเป็นความยั่งยืนของสังคม และสิ่งแวดล้อม
“เราอยากสร้างวัฒนธรรมให้กินเผื่อคนอื่น กินอย่างเกื้อกูล กินแล้วนึกถึงผู้ผลิต กินเผื่อสิ่งแวดล้อม กินเผื่อเพื่อนมนุษย์”
- อร่อยอย่าง ‘เป็นธรรม’
หลังดำเนินการต่อเนื่องมา 5 ปี โครงการจะสิ้นสุดลงในปีนี้ แต่ชีวิตชาวประมงยังต้องดำเนินต่อไป โดยเฉพาะถ้ามองจากผลสำเร็จแล้ว ถือว่าชัดเจนมาก ยืนยันได้จากปริมาณการขายปลาทั้งหมด 40 กว่าตันในสามปีสุดท้าย ซึ่งเกินความคาดหมายไปเยอะ เพราะร้านเปิดขายแค่สัปดาห์ละครั้ง
“เราไม่ได้คิดว่า โครงการเล็กๆ จะทำตลาดได้ขนาดนี้ เรามีลูกค้าที่เป็นโรงแรม ร้านอาหาร มีกลุ่มเพื่อนผู้บริโภค เกิดเป็นเครือข่าย สร้างการขับเคลื่อนในสังคม นอกจากมูลค่าในเชิงตัวเงินแล้ว เรายังเห็นการเคลื่อนไหวของคนที่อยากลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงเส้นทางอาหาร คล้ายๆ กันกับเรา จึงเป็นแรงผลักดันให้เราอยากจะไปต่อ”
เมื่อโครงการจบลง เครือข่ายฯ จึงขอเดินหน้าต่อโดยชวนชาวบ้านใน 7 ชุมชนประมงพื้นบ้านมาจัดตั้ง บริษัท ปลาออร์แกนิกวิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด ซึ่งมีชาวประมงพื้นบ้านเป็นเจ้าของ และเตรียมจะเปิดร้าน “ปลาออร์แกนิก” ที่ซอยวิภาวดีรังสิต 22 ช่วงปลายปีนี้
“99 เปอร์เซ็นต์ถือหุ้นโดยตัวแทนชาวประมงจาก 7 ชุมชน ส่วนที่เหลือ 1 เปอร์เซ็นต์ถือในนามทีมงานเพื่อสะดวกในการบริหารจัดการ” เธออธิบาย และบอกว่า ที่ผ่านมา จากเงิน 100 บาทของยอดขาย จะเป็นของชุมชน70 บาท ส่วน30 บาทที่เหลือเก็บไว้เป็นค่าบริหารจัดการ
“70 บาทเนี่ย เมื่อไปถึงชุมชน เขาก็จะเอาไปแบ่ง โดย 50 บาทไปสู่ชาวประมง ที่เหลือ 20 บาทเป็นค่าบริหารจัดการองค์กรเขาแล้วแต่เขาจะบริหารเอาไปทำอะไร” ดร.สุภาภรณ์ขยายความ และบอกว่า เมื่อเปิดเป็นบริษัทแล้ว สัดส่วนการแบ่งรายได้ดังกล่าวก็ยังคงไว้เช่นเดิม
กลุ่มผู้หญิงในหมู่บ้าน ต้องไปรับข้างฉีกปลากะตัก
นั่งฉีกอยู่สองวันจึงจะหมดกระสอบ
แต่ได้ค่าแรงแค่ 25 บาท
“มันเป็นความภูมิใจอย่างมาก ที่ชาวประมงได้เป็นเจ้าของบริษัท” มูหามะสุกรี มะสะนิง หรือ “แบสุกรี” ตัวแทนชาวประมงจาก จ.ปัตตานี ร่วมสะท้อนความในใจ
ถ้าย้อนหลังกลับไปเกือบ 30 ปีที่แล้ว ปัตตานี ถือเป็นพื้นที่ที่เดือดร้อนอย่างมากเมื่อท้องทะเลไม่เหมือนก่อน
“ปัตตานีเคยประสบปัญหาทรัพยากรสัตว์น้ำลดลงจำนวนมากจาการใช้เครื่องมือประมงแบบทำลายล้าง ตอนนั้น คือ ปี 2535 ปัตตานีแทบไม่เหลือสัตว์น้ำให้จับ ส่งผลให้ 72 หมู่บ้านชาวประมงค่อยๆ ทยอยล่มสลาย อพยพไปขายแรงงานในมาเลเซีย เด็กๆ ก็ขาดพ่อขาดแม่ ขาดการศึกษา เกิดปัญหาอื่นๆ อีกมากมายตามมา” แบสุกรี เล่าถึงปัญหาที่เคยเกิดขึ้น ซึ่งรุนแรงถึงขนาดออกเรือไปจับปลากลับมาได้แค่ 5 ตัว
เมื่อชาวบ้านเห็นว่า ปล่อยไว้คงไม่ดีแน่ จึงเริ่มมีการพูดคุยและนำมาซึ่งโครงการแรก คือ ปะการังเทียม พร้อมกับผลักดันให้เรืออวนลาก อวนรุน ออกนอกพื้นที่
แม้ความพยายามจะประสบผล สัตว์น้ำเริ่มกลับมา ชาวประมงออกเรือไปจับปลาได้มากขึ้น แต่ชาวบ้านกลับยากจนเหมือนเดิม
ภาพที่เขาเห็น คือ กลุ่มผู้หญิงในหมู่บ้าน ต้องไปรับข้างฉีกปลากะตัก นั่งฉีกอยู่สองวันจึงจะหมดกระสอบ แต่ได้ค่าแรงแค่ 25 บาท แถมมือก็เปื่อยยุ่ยจากความเค็มของปลา
อีกสิ่งที่เห็นชัดเจนคือ ราคาสินค้าไม่เคยดีขึ้น “ชาวประมง 5 ปีที่แล้วขายกุ้งได้ราคาเท่าไหร่ วันนี้ก็ยังขายได้เท่าเดิม”
ที่เป็นแบบนั้น ก็เพราะกฎพื้นฐานเรื่อง ดีมานด์-ซัพพลาย เนื่องจากวิถีประมงพื้นบ้านจับสัตว์น้ำตามฤดูกาล ในช่วงที่โตได้ขนาดที่สุด ทำให้สินค้ามีจำนวนมากในช่วงเวลาเดียวกัน เมื่อมีเยอะ ราคาจึงถูก
“ไม่ใช่แพปลากดราคานะครับ แต่แพปลาก็ไม่รู้จะไปขายที่ไหนเหมือนกันเพราะของมันเยอะมาก ก็เลยราคาถูก แต่พอเรามีตลาดที่กรุงเทพฯ มันสามารถระบายสินค้าได้มากขึ้น เท่ากับว่า เราเอาสินค้าที่เยอะในพื้นที่ออกไปนอกพื้นที่ เพราะความต้องการนอกพื้นที่นั้นมีอยู่แล้ว ก็เลยช่วยอัพราคาให้สูงขึ้นได้” เขาเล่า
การเข้ามาของโครงการดังกล่าว ช่วยให้แบสุกรีมีรายได้สูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ราว 30-40 เปอร์เซ็นต์ จากเดือนละ 6-7 พันบาท ก็ขยับมาเป็น 12,000-13,000 บาทต่อเดือน โดยแม้ว่า ยอดสั่งซื้อจากเครือข่ายฯ จะเป็นเพียง 10 เปอร์เซ็นต์ของสินค้าที่ชาวประมงหามาได้ แต่จากราคาที่สูงขึ้น ก็ช่วยฉุดราคารับซื้อที่แพปลาให้สูงขึ้นตามไปด้วย ทำให้ชาวประมงได้รับประโยชน์อยู่ดี แม้จะไม่ได้ซื้อขายกับเครือข่ายฯ
ไม่ต่างกันกับสองสาวจากกระบี่ จะไก๊ และ จะระ ที่มาร่วมงานเปิดร้านปลาออร์แกนิกเมื่อสัปดาห์ก่อน พวกเธอบอกว่า ชีวิตดีขึ้นจากรายได้ที่เพิ่มสูงขึ้นราวๆ 20 เปอร์เซ็นต์
“จากเดิม กลุ่มผู้หญิงจะว่างงานช่วงมรสุมเข้า แต่พอมาทำโครงการนี้ ก็เป็นอาชีพเสริมที่เพิ่มรายได้ให้กับกลุ่มผู้หญิง” สองสาวบอก
“ถึงแม้ความขัดแย้งใน 3 จังหวัดชายแดนใต้จะคงอยู่ ชีวิตและวิถีประมงก็ยังต้องดำเนินต่อไป กลุ่มเยาวชนที่มีความเสี่ยงจะเข้าไปพัวพันกับความขัดแย้ง ก็ได้มีอาชีพ โครงการเราไม่ได้ขยายแค่รายได้ แต่ยังขยายโอกาสในทางสังคมด้วย” ดร.สุภาภรณ์เอ่ยถึงความเชื่อที่มี
และเป็นที่มาของความพยายามที่จะสร้างสังคมการบริโภคอย่างเกื้อกูล
“ถ้าเขาแค่ต้องการกินของสด ปลอดภัย ซื้อจากเจ้าไหนก็ได้ แต่ถามว่า กินแล้วเงินไปไหน เราต้องสื่อสารให้ผู้บริโภคเข้าใจว่า เราขายมากกว่าปลา เรากำลังขายความเปลี่ยนแปลงในสังคม”
หมายเหตุ : ผู้สนใจสามารถติดตามรายการสินค้าประจำสัปดาห์ได้ทุกวันจนทร์ทางเฟซบุ๊ค "เครือข่ายรักษ์ปลา-รักษ์ทะเล" โดยจะมีการออกร้านในทุกวันเสาร์ที่ 2 และเสาร์สุดท้ายของเดือนที่เกทเวย์เอกมัย, ทุกวันอาทิตย์สุดท้ายของเดือนที่ร้านปันอยู่ปันกิน (นาคนิวาส30) และเตรียมพบกับร้านปลาออร์แกนิกเต็มรูปแบบได้ในช่วงปลายปี