สำรวจความผิดปกติในขบวนการส่งเสริมคุณภาพชีวิต "ผู้พิการ" ที่เต็มไปด้วยความปรารถนาดีประสงค์ร้าย!
ก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไร หากพูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับ เขา และเธออีก 3 คน
ที่เคยคิดว่าจะได้วิชาความรู้เอาไปประกอบอาชีพ เพราะความพิการที่ได้รับมา บ้างก็ตั้งแต่ลืมตาดูโลก บ้างก็ด้วยความผิดพลาดของโชคชะตา เท่านั้นก็ดูจะเป็นชีวิตติดลบที่ต้องทำให้ทั้ง 4 คนดิ้นรนต่อไปในสังคมให้ได้อยู่แล้ว
พวกเขารู้สึกว่า การเข้ามาฝึกอาชีพในหลักสูตรผู้พิการนั้นไม่ต่างจากแสงสว่างปลายอุโมงค์ แต่ใครจะคิดว่า เงินเบี้ยเลี้ยงอบรมสำหรับผู้พิการ ตลอดจนเงินอุดหนุนในการประกอบอาชีพ ที่แปลงเป็นสินทรัพย์อย่างรถยนต์ 1 คัน หรือเครื่องมือในการประกอบอาชีพ พวกเขาจะได้เงินตลอดโครงการจริงๆ คนละไม่เกิน 5,000 บาทด้วยซ้ำ
ตลกร้ายยิ่งกว่า คือ คนที่ “ยัก” เงินที่ควรจะเป็นทุนรอนตั้งต้นชีวิตนั้น กลับเป็นหัวขบวนคนพิการที่ดูแลโครงการนี้อยู่เอง
เรื่องนี้จึงทั้ง “เจ็บ” และ “จุก” ในความรู้สึก
“ทำกันได้ลงคอ...” ใครบางคนยิ้มเจือนพลางถอนใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น
ยิ่งสะสม ยิ่งไม่เข้าใจ
ข้อมูลสถิติเมื่อเดือนกันยายน ปี พ.ศ. 2560 จากกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ หรือ พก. สังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) พบว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีประชากรคนพิการ 1.8 ล้านคน
เมื่อเทียบเคียงจำนวนประชากรจากกระทรวงมหาดไทยราว 66 ล้านคน ปริมาณคนพิการในประเทศไทยคิดเป็นสัดส่วนไม่ถึง 3 เปอร์เซ็นต์ ของประชากรทั้งประเทศ ในขณะที่ข้อมูลของสหประชาชาติเมื่อปี 2560 มีการประเมินอัตราส่วนคนพิการเฉลี่ย 15 เปอร์เซ็นต์ทั่วโลก
นั่นเท่ากับว่า ในความเป็นจริงนั้น บ้านเรายังมี “ผู้พิการแฝง” ถูกซ่อนเอาไว้อยู่อีกมาก ไม่ว่าจะด้วยความเข้าใจคลาดเคลื่อนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่าง ผู้พิการก้ำกึ่ง อาทิ ตาบอดข้างเดียว หรือ หูได้ยินข้างเดียว ที่ถูกเหมารวมว่า ไม่ปกติ แต่ก็ไม่สามารถมีบัตรคนพิการได้เพราะไม่เข้าหลักเกณฑ์
ปมที่ถูกละเลยมาตลอดทำนองนี้ ยิ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ความเหลื่อมล้ำในสังคมถูก “ถ่าง” ให้กว้างขึ้นไปอีก
ปฏิเสธไม่ได้ว่า คุณภาพชีวิตของผู้พิการ ถือเป็นหมุดหมาย หรือตัวชี้วัดถึงความเท่าเทียมที่ควรจะเกิดขึ้นตามนโยบายของรัฐบาลที่เคยประกาศไว้ว่าจะ “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง”
ที่ผ่านมา นอกจากสิทธิพื้นฐานสำหรับเอื้อให้ผู้พิการสามารถใช้ชีวิตได้ในสังคม อาทิ การเข้าถึงการศึกษา สิ่งอำนวยความสะดวกตามสถานที่หรือบริการสาธารณะ อุปกรณ์ช่วยเหลือ ตลอดจนการร้องขอผู้ช่วยคนพิการ ก็ยังมีพรบ.ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ 2550 โดยมีมาตรา 33-34-35-36 เป็นสาระสำคัญ หรือที่เรียกรวมกันว่า “กฎหมายการจ้างงานคนพิการ” ซึ่งทำให้มีเงินหมุนเวียนใน กองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ รวมกันจนถึงวันนี้ ไม่ต่ำกว่า 1.2 หมื่นล้านบาท
เมื่อไม่นานมานี้ ได้มีแนวคิดการนำ “เงินส่วนเกิน” กว่า 2 พันล้านบาทจากกองทุนดังกล่าวเข้าคลัง ทำให้มีเสียงคัดค้านจากฟากของคนพิการซึ่งนำโดยสภาคนพิการทุกประเภทแห่งประเทศไทยออกมาคัดค้านอย่างถึงที่สุด เนื่องจากเงินในกองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ สามารถนำออกมาช่วยเหลือ ส่งเสริม สนับสนุน คุณภาพชีวิตคนพิการได้อย่างมาก
เรียกว่า นี่เป็นภาพสะท้อนความไม่เข้าใจ และด่วนตัดสินคนพิการ ที่สะสมกันมาเนิ่นนานตั้งแต่แนวคิดในระดับนโยบาย ก็ว่าได้
สาระสำคัญใน“กฎหมายการจ้างงานคนพิการ”
- ตามมาตรา 33 หากสถานประกอบการใดมีพนักงานถึง 100 คน ต้องจ้างงานคนพิการ 1 คน
- หากไม่จ้างคนพิการแล้ว ตามมาตรา 34ต้องจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการมีมูลค่า 365 วันคูณด้วยค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท = รวมทั้งสิ้น 109,500 บาท
- สถานประกอบการหลายแห่งจำนวนมาก ต้องการส่งเสริมอาชีพคนพิการ จึงเลือกใช้มาตรา 35การจัดสัมปทาน และช่วยเหลืออื่นใด 7 หัวข้อ ได้แก่ การให้สัมปทาน การให้ใช้พื้นที่ การจ้างเหมาบริการการฝึกอบรม การจัดให้มีล่ามภาษามือ การจัดสิ่งอำนวยความสะดวก และการช่วยเหลืออื่นใดโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมอาชีพคนพิการหรือผู้ดูแลคนพิการ
- หากสถานประกอบการไม่ปฏิบัติตาม มาตรา 33-34-35 หรือปฏิบัติไม่ครบถ้วน ละเลย ตามมาตรา 36ให้มีการอายัดทรัพย์สินเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการตามมาตรา 34 พร้อมดอกเบี้ยตามที่กฎหมายกำหนด (7.5 เปอร์เซ็นต์ ต่อปี)
เคราะห์ซ้ำ คน (พิการ) ซัด
“เราไม่ได้พิการ แต่สภาพแวดล้อมต่างหากทำให้เราพิการ” มันเป็นถ้อยคำธรรมดาที่แฝงความจริงที่สุดของสังคมเอาไว้อย่างไม่อาจปฏิเสธ
ถ้ายังจำได้ เหตุการณ์มนุษย์ล้อคนหนึ่งทุบลิฟท์ในสถานีรถไฟฟ้าเพื่อเรียกร้องสิทธิในการเข้าถึงบริการที่เท่าเทียมเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา นั่นถือเป็นฉากการต่อสู้ต่อความเหลื่อมล้ำที่โจ่งแจ้งที่สุดอีกครั้งหนึ่งระหว่างคนพิการกับสังคมของพวกเขา
นอกจากตะโกนส่งเสียง การพัฒนาศักยภาพของตัวเองเพื่อให้ใช้ชีวิตได้ไม่ต่างจากคนทั่วไป ก็เป็นเหรียญอีกด้านที่ใครหลายคนอาจมองไม่เห็น และยิ่งซ้ำเติมชะตากรรมเข้าไปอีก เมื่อหนทางเหล่านั้นถูกปลิดทิ้งอย่างไม่ใยดีเพียงเพื่อ “ผลประโยชน์”
มิหนำซ้ำยังเป็นคนพิการด้วยกันนั่นแหละที่ตั้งตัวเป็น “มาเฟีย” ทำนาบนหลังคนพิการด้วยกันเอง
เหมือนอย่างที่ตัวแทนคนพิการทั้ง 4 คนที่มาบอกเล่ากับ “จุดประกาย” ถูกกระทำมา ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อลงละเอียดในชั้นเอกสารก็จะพบว่า เรื่องนี้ “ความเสียหาย” ไม่ธรรมดา
จากหนังสือตอบเรื่องการตรวจสอบการละเมิดสิทธิคนพิการเพื่อประโยชน์อันมิชอบจากกรมการจัดหางาน ฉบับที่ รง 0307/20554 ลงวันที่ 22 มีนาคม 2560 ระบุถึงการจัดฝึกอบรมของสมาคมคนพิการแห่งหนึ่งที่ “ลักไก่” ใช้สิทธิคนพิการ 190 คน (แต่มาไม่ครบ) อบรมตามกฎหมายกำหนด 6 เดือน (แต่ใช้เวลาจริงเพียง 3 เดือน) โดยให้เหมาจ่ายรายละ 27,000 บาทแล้วไม่ต้องเข้าเรียน
ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้ว ตามระเบียบคนพิการที่เข้าอบรมจริงตลอดระยะเวลา 6 เดือนจะได้เงินเบี้ยเลี้ยง ค่าที่พัก และค่าเดินทาง เฉลี่ยรวมประมาณ 6 หมื่นบาททั้งหลักสูตร
เมื่อเทียบเคียงกับมูลค่าการฝึกอบรมตามระเบียบของ กองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ เฉลี่ยคนละ 1.1 แสนบาท เท่ากับว่า ในกรณีนี้มีการทุจริตเม็ดเงินไม่ต่ำกว่า 20 ล้านบาทเลยทีเดียว
ปรีดา ลิ้มนนทกุล นักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิคนพิการจากเครือข่ายพิทักษ์สิทธิคนพิการ อธิบายหลักเกณฑ์ในการอบรมลักษณะนี้ว่า แท้จริงแล้ว สัดส่วนการจัดสรรเงินในการฝึกอาชีพผู้พิการที่ถูกต้องนั้น จะแบ่งออกเป็น ผู้พิการ 65 -67 เปอร์เซ็นต์ ค่าวิทยากร 10 เปอร์เซ็นต์ ค่าสถานที่ 10-15 เปอร์เซ็นต์ และค่าอำนวยความสะดวก อื่นๆ ไม่เกิน 20 เปอร์เซ็นต์
แต่ในกรณีนี้...
“เหมาจ่ายแล้วไม่ต้องมาเรียน แต่นำเอกสารของคนพิการหรือผู้ดูแลคนพิการมาใช้โดยเจ้าตัวไม่รู้เรื่อง เมื่อถึงเวลาที่ทาง 2 บริษัทจะมาตรวจ ก็จะเกณฑ์คนมานั่งให้เห็นว่าครบจำนวน โดยแบ่งการอบรมเป็น 4 รุ่น รุ่นละ 45-50 คน นี่จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมเขาจึงอบรมเพียง 3 เดือน เพราะทำปีละ 4 รุ่น ทุกรุ่นจะคุมเอง เพื่อไม่ให้มีใครรู้รายละเอียดเรื่องการคอรัปชั่นเงิน 20 ล้าน ใน 3 ปีนั้น เจ้าตัวซื้อรถ 5 คัน และน่าจะได้ส่วนต่างจากการคอรัปชั่นประมาณ 30 ล้านบาท”
เขายืนยันว่า นี่เป็นเพียง “ร่องรอย” เพียงเล็กน้อยในองคาพยพขององค์กรเครือข่ายผู้พิการที่ผูกโยงตั้งแต่ หน่วยงานด้านสาธารณกุศลที่มีหน้ามีตาในสังคม ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนองค์กรเอกชนที่อยู่ใต่ร่มกฎหมายจ้างงานผู้พิการ ทั้งเป็นไปได้ทั้ง “สมรู้ร่วมคิด” หรือ “ไม่รู้”
หรือในทางกลับกัน นี่นับเป็นภาพสะท้อนการ “ละเลย” และ “ไม่จริงจัง” กับการตรวจสอบข้อมูลการใช้จ่ายงบประมาณ ทั้งๆ ที่ไม่มีการจ้างงาน
“บางพื้นที่ที่มีโรงงานเยอะ ก็จะมีเรื่องทำนองนี้อยู่มากมาย มีคดีฟ้องร้องมากมาย เช่น โดนคดีอาญาปลอมแปลงเซ็นสำเนาบัตรประชาชนคนพิการ มีคดีโดนแจ้งจับให้ชดใช้ค่าเสียหายโครงการของธนาคารแห่งหนึ่งเอาสำเนาบัตรลายเซ็นปลอมไปหลอกเอาเงินมาใช้แต่ไม่มีคนพิการไปรายงานตัว เป็นต้น” ปรีดาบอก
หากเคาะเป็นตัวเลขกลมๆ ตัวอย่างการคอรัปชั่นลักษณะนี้สร้างความเสียหายต่อราชการ ปีละกว่า 500 ล้านบาท รวมทั้ง 2 มาตรา (33+35) ราชการเสียหายปีละกว่า 1.5 พันล้านบาท หากราชการจริงจังกับเรื่องนี้ จะกลายเป็นคดีใหญ่ระดับชาติอีกคดีหนึ่ง ไล่เบี้ยยึดทสรัพย์ที่ถูกโอนย้าย ยักยอกไปยังพี่น้องคนใกล้ชิด ตลอดหลายปี มากกว่า 4.5 พันล้านบาทโดยประมาณ
แน่นอนว่า จนถึงตอนนี้ หนังเศร้าเรื่องนี้ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะถึงตอนจบ