สัมผัส ‘ธรรมชาติบริสุทธิ์’ ณ อุทยานใหม่ฟินแลนด์

สัมผัส ‘ธรรมชาติบริสุทธิ์’ ณ อุทยานใหม่ฟินแลนด์

ความสัมพันธ์อันยาวนานระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติในอุทยานแห่งชาติแห่งนี้ มีความเป็นมานานหลายพันปีแล้ว

สิ่งที่แรกที่อาจทำให้คุณต้องตะลึงเกี่ยวกับอุทยาน "ฮอสซา" อุทยานแห่งชาติแห่งใหม่ล่าสุดของฟินแลนด์ คือ "ความบริสุทธิ์" และ "ความเงียบสงบที่ไร้สิ่งรบกวน" แทบจะเรียกได้ว่าเวลาที่นี่หยุดนิ่ง เพราะมีเพียงสายลมเบา ๆ ที่เข้ามารบกวนความบริสุทธิ์ของธรรมชาติ ทะเลสาบใสดั่งกระจก และสันคดเคี้ยวที่เต็มไปด้วยต้นสนทอดยาวไปสุดลูกหูลูกตา

บรรยากาศแบบนี้ถือเป็นรางวัลชีวิตสำหรับผู้ที่ขับรถเข้าไปในพื้นที่ธรรมชาตินอกทางหลวงหมายเลข อี63 ห่างจากกรุงเฮลซิงกิไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ 750 กม. แม้กระทั่งชาวฟินแลนด์เองยังมองว่า อุทยานฮอสซาซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับพรมแดนแคว้นไครนูของรัสเซียนั้น ถือเป็นพื้นที่ห่างไกล แต่ส่วนใหญ่คุณก็อาจบังเอิญเจอกวางเรนเดียร์มากกว่านักปีนเขาตลอดระยะทาง 90 กม.ผ่านป่าสน ซึ่งถือเป็นหนึ่งพื้นที่ปีนเขาที่อายุเก่าแก่ที่สุดในฟินแลนด์

ขณะเดียวกัน อุทยานฮอสซานับเป็นอุทยานแห่งชาติแห่งที่ 40 ของฟินแลนด์ โดยสร้างขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสครบรอบ 100 ปีการเป็นเอกราชของประเทศ และความรู้สึกเหมือนได้หลีกหนีจากสิ่งต่าง ๆ จะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวไปยังอุทยานฮอสซามากขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย

ความสัมพันธ์อันยาวนานระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติในอุทยานแห่งชาติแห่งนี้ มีความเป็นมานานหลายพันปีแล้ว โดยผู้ตั้งรกรากกลุ่มแรกมาถึงที่นี่หลังยุคน้ำแข็งยุคสุดท้าย โดยเดินทางมาตามกวางเรนเดียร์ป่าที่อาศัยอยู่ทางเหนือของฟินแลนด์ในช่วงที่สภาพอากาศอุ่นขึ้น

กำแพงหินวารีกัลลิโอ ซึ่งสูงตระหง่านกว่า 10 เมตรจากทะเลสาบโซเมอริยาวีเผยให้เห็นหลักฐานของชีวิตที่นี่ในยุคโบราณ โดยประติมากรรมยุคหินบนแผ่นหินคาดว่ามีอายุถึง 4,500 ปี แม้ว่าถูกค้นพบในปี 2520 เมื่อสองนักเล่นสกีอย่าง “ลีนา มาเกลา” และ “ยูฮา รอสซี” สังเกตเห็นเครื่องหมายสีส้มอมแดงแปลกตาบนก้อนหินดังกล่าว

ไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจที่ไม่มีใครค้นพบภาพวาดบนก้อนหินวารีกัลลิโอมาเป็นเวลาเนิ่นนาน เนื่องจากสถานที่แห่งนี้สามารถเดินทางไปได้โดยเรือ หรือเดินเท้า หรือสกีเท่านั้นช่วงที่ทะเลสาบจับตัวเป็นน้ำแข็งในแต่ละฤดูหนาว

ปัจจุบัน ก้อนหินดังกล่าวและจุดชมวิวแห่งใหม่สามารถเดินทางไปได้โดยเรือคายัค หรือทางเดินเท้าสุดงดงามระยะทาง 4.5 กม.จากพื้นที่จอดรถลีฮัปโปเร ซึ่งอยู่ไม่ไกลนักจากศูนย์รับรองนักท่องเที่ยวของฮอสซา

อย่างไรก็ตาม สถานที่แห่งนี้ยังคงมีบรรยากาศแห่งความลึกลับปกคลุมในช่วงยุคหินและความหมายของรูปวาดคล้ายมนุษย์ 60 ตัวบนแผ่นหินก้อนนั้น ภาพที่ชวนน่าสงสัยที่สุดคือสิ่งที่รูปร่างเหมือนมนุษย์ 4 คนซึ่งมีศีรษะทรงสามเหลี่ยม ภาพสิ่งมีชีวิตที่มีเขาซึ่งเชื่อว่าเป็นหมอผีที่กำลังร่ายรำ และภาพวาดกวางขนาดใหญ่ราว 30 ตัว

“มี 3 ทฤษฎีหลักเกี่ยวกับความหมายของภาพเหล่านี้ ทฤษฎีแรกคือภาพเหล่านี้ถูกวาดขึ้นอย่างเป็นพิธีการ เพื่อรับประกันว่าการเดินทางออกล่าสัตว์จะประสบความสำเร็จ อย่างที่สองคือภาพพวกนี้ถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์ของสัตว์ภูติผู้พิทักษ์และลัทธิบูชารูปเคารพ ซึ่งเป็นความเชื่อที่ว่ามนุษย์สายสัมพันธ์ลับ ๆกับภูตผีวิญญาณ” ไซยา ไทวัลมากิ ซึ่งดูแลบริษัทยูกา ไทวัล ธุรกิจด้านสุขภาพในท้องถิ่นเผย

“ทฤษฎีสุดท้าย บางคนมองภาพเหล่านี้ว่าเป็นการแสดงให้เห็นถึงโลกทัศน์ของผู้วาดในช่วงเวลานั้น เช่น สถานที่ซึ่งต่างจากโลกใด ๆ ในจักรวาลที่เรารู้จัก แผ่นดินซึ่งที่อาศัยของมนุษย์ และโลกใต้ดิน ต่างรวมเป็นหนึ่ง” ไทวัลมากิอธิบายเสริม

หลายพันปีต่อมา ชาวท้องถิ่นยังคงรักษาความสัมพันธ์อันเหนียวแน่นกับผืนดิน การล่า การหาปลา และการออกหาอาหารเหมือนกับที่บรรพบุรุษของตนเคยทำ คนอื่น ๆ อาจรู้สึกว่ามีความเชื่อมโยงทางจิตวิญญาณกับธรรมชาติของอุทยานฮอสซามากขึ้น เช่นเดียวกับไทวัลมากิซึ่งมารดาของเธอเป็นคนที่นี่ และกลับมาหลังจากไปอยู่ในกรุงเฮลซิงกิ 11 ปี ตอนนี้เธอต้องการช่วยให้ผู้อื่นพบความกลมกลืนกับจิตใจ ร่างกาย และธรรมชาติ ด้วยการเล่นโยคะในป่าและการศึกษาสิ่งแวดล้อม

ระหว่างขากลับตลอดทางเดินจากกำแพงหินวารีกัลลิโอไปยังพื้นที่จอดรถลีฮัปโปเร ไทวัลมากิยังได้พบกับพุ่มต้นมอสส์ที่ห้อยลงมาจากกิ่งต้นสน

“นี่เป็นสัญญาณของอากาศบริสุทธิ์ที่นี่” ไทวัลมากิอธิบาย และว่าการเดินเล่นชมป่าเขาช่วยบรรเทาความเครียดได้อย่างดีเยี่ยม เพราะประโยชน์ต่อสุขภาพจากการสูดหายใจกลิ่นหอมของต้นสน

ไม่ใช่เพียงทางเดินทอดยาวในป่าที่ดึงดูดผู้คนให้มาอุทยานฮอสซา แต่ทะเลสาบโซเมอริยาวที่ใสสะอาดยังเป็นความฝันสำหรับนักพายเรือคายัค ไม่แพ้ทะเลสาบยุลมา-โอล์กกี ทะเลสาบขนาดใหญ่ที่สุดของฟินแลนด์ แต่เมื่อเดือนที่แล้วน้ำในทะเลสาบแห่งนี้ถูกปกคลุมไปด้วยลูกไม้น้ำแข็งเป็นหย่อม ๆ

ขณะเดียวกัน สายลมที่พัดผ่านทุ่งโล่งและป่าสนหนาทึบซึ่งติดกับทางลาดชันของหุบเขา และหิมะยังคงสะท้อนแสงจากดวงอาทิตย์ทำให้รู้สึกถึงความโดดเดี่ยว

นอกจากนั้น การมาใช้ชีวิตที่อุทยานฮอสซายังทำให้สบายทั้งกายและใจ โดยเฉพาะในฤดูหนาวที่ยาวนาน โดยเลนนี ดาลี ชาวไอริชที่เป็นเจ้าของที่พักตั้งแคมป์ริมทะเลสาบโซเมอริยาวีบอกว่า การมาพักผ่อนที่นี่เหมือนกับต้องพยายามเอาตัวรอดไปด้วยและไม่ใช่เรื่องเกินความจริง

ขณะที่ไมเยีย ดาลี ภรรยาชาวฟินแลนด์ของเลนนีบอกว่า การที่ไม่มีร้านอาหารในพื้นที่แห่งนี้ทำให้เธอโหยหารสชาติอาหารมากมาย แถมยังต้องทำอาหารสำหรับรับประทานเอง

เครดิตรูป: Sarah Gibbons