กำไรบริษัทจดทะเบียนมีแนวโน้มถูกปรับลดลง

กำไรบริษัทจดทะเบียนมีแนวโน้มถูกปรับลดลง

ผ่านไปอีก 1 ไตรมาสสำหรับการประกาศผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในปี 2019

โดยกำไรในไตรมาสแรกของบริษัทจดทะเบียนรวมอยู่ที่ 2.73 แสนล้านบาท คิดเป็นการลดลง -7% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2018 และเพิ่มขึ้น 73% จากไตรมาส 4 ปี 2018 โดยกลุ่มธุรกิจที่ยังมีกำไรเติบโตจากปีที่แล้ว ได้แก่ กลุ่มการแพทย์ กลุ่มธุรกิจเงินทุนหลักทรัพย์ กลุ่มธุรกิจอาหารและการเกษตร กลุ่มพัฒนาที่อยู่อาศัย และกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง เป็นต้น และแม้กำไรในไตรมาสนี้จะลดลงเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว แต่ถือเป็นตัวเลขที่ดีกว่านักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ จากบริษัทในกลุ่มธุรกิจอาหารและการเกษตร ธนาคารพาณิชย์ โทรคมนาคม และปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ ที่ทำกำไรได้ดีกว่าคาด หากดูเป็นรายบริษัท พบว่าสัดส่วนของจำนวนบริษัทที่ประกาศกำไรสุทธิดีกว่าคาดอย่างน้อย 5% ในไตรมาสนี้อยู่ที่ 42% เพิ่มขึ้นจาก 22% ในไตรมาส 4 และสัดส่วนของจำนวนบริษัทที่ประกาศกำไรสุทธิน้อยกว่าคาดอย่างน้อย 5% อยู่ที่ 35% ซึ่งลดลงจาก 57% ในไตรมาส 4

เมื่อพิจารณาตามรายกลุ่มธุรกิจ กลุ่มธุรกิจที่มีการเติบโตสูงที่สุดเมื่อเทียบกับปีที่แล้วคือ กลุ่มบริการรับเหมาก่อสร้าง ที่เติบโตถึง 182% จากไตรมาส 1 ปีที่แล้ว ตามความคืบหน้าที่เพิ่มขึ้นของงานในมือ ทั้งงานเอกชนและภาครัฐ รวมทั้งรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ชมพู น้ำเงินและส้ม ในขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากงานรถไฟฟ้าให้อัตรากำไรค่อนข้างดี แม้บางบริษัทมีการบันทึกค่าใช้จ่ายสำรองการจ่ายชดเชยพนักงาน แต่กำไรรวมของกลุ่มก็ยังเติบโตได้ดี และคาดว่าแนวโน้มกำไรของบริษัทในกลุ่มนี้น่าจะยังเติบโตได้ต่อเนื่องจากงานประมูลภาครัฐเริ่มทยอยถูกนำมาประมูล คาดว่าภายในครึ่งปีแรกของปี 2019 จะทราบผลผู้ชนะประมูลงานในโครงการใหญ่ EEC เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน โครงการสนามบินอู่ตะเภา โครงการท่าเรือมาบตาพุดและท่าเรือแหลมฉบัง เฟส 3 มูลค่ารวมกว่า 6 แสนล้านบาท

กลุ่มธุรกิจการแพทย์มีกำไรรวมเติบโตดี เพิ่มขึ้น 83% จากไตรมาส 1 ปี 2018 เนื่องจากบริษัทกรุงเทพดุสิตเวชการ (BDMS) มีการบันทึกกำไรพิเศษจากการขายเงินลงทุนในหุ้น RAM เป็นจำนวนกว่า 6 พันล้านบาท หากไม่รวมรายการนี้ กำไรรวมของกลุ่มเติบโตได้เล็กน้อยจากปีที่แล้ว แต่แนวโน้มของหุ้นในกลุ่มโรงพยาบาลยังไม่ค่อยดีนัก เนื่องจากยังมีความไม่แน่นอนในเรื่องการออกกฎหมายควบคุมราคายา ซึ่งจะกระทบการทำกำไรของกลุ่มโรงพยาบาลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อีกกลุ่มหนึ่งที่กำไรเติบโตได้ดีจากรายการพิเศษนั่นคือ กลุ่มโทรคมนาคม จากการที่ TRUE มีการบันทึกกำไรพิเศษจากการขายเงินลงทุนและการตีมูลค่าสินทรัพย์ในกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม ดิจิติอล (DIF) เป็นจำนวนกว่า 1.1 พันล้านบาท แต่แนวโน้มในระยะกลางของผู้ให้บริการโครงข่ายยังไม่สู้ดีนัก จากการแข่งขันที่แม้ลดลงแต่ยังคงรุนแรง และการต้องใช้เงินลงทุนสูงต่อเนื่องในการลงทุนโครงข่ายและประมูลคลื่นเพิ่มเติม

อีกกลุ่มหนึ่งที่กำไรออกมาค่อนข้างดี คือ กลุ่มธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ มีกำไรเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1 ปี 2018 กว่า 60% เนื่องมาจากการที่ผู้ประกอบการเร่งยอดโอนให้ทันภายในไตรมาสแรกของปีนี้ หลังจากที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดมาตรการควบคุมการปล่อยสินเชื่อให้วงเงินต่อหลักประกัน (Loan-to-Value: LTV) ต่ำกว่า 95% สำหรับผู้ที่ซื้อบ้านหลังที่สองขึ้นไป หรือต่ำกว่า 80% สำหรับผู้ที่ซื้อบ้านที่มีราคาสูงกว่า 10 ล้านบาท เป็นต้น ทำให้ทั้งผู้ประกอบการและผู้บริโภคต่างเร่งการโอน ก่อนการประกาศใช้มาตรการนี้วันที่ 1 เมษายน 2019 แต่หากมองภาพยอดขายล่วงหน้า (Presales) พบว่าลดลงประมาณ 9% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว เนื่องจากผู้ประกอบการเร่งระบายสต็อกเก่า จึงชะลอการเปิดโครงการใหม่ๆ รวมทั้งผู้บริโภคที่ตัดสินใจซื้อยากขึ้น แนวโน้มของกำไรในกลุ่มนี้ในภาพระยะกลาง - ยาว น่าจะยังไม่สดใสนัก

จากตัวเลขที่ประกาศออกมา มีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูงที่นักวิเคราะห์จะปรับลดประมาณการกำไรสุทธิของตลาดในปี 2019 ลง จากเดิมเติบโตจากปี 2018 ประมาณ 10% เหลือเติบโตเพียง 3-4% คิดเป็นกำไรต่อหุ้นของตลาดที่ 101 บาท ซึ่งระดับดัชนีปัจจุบันที่ประมาณ 1,620 จุด คิดเป็นค่าพีอี 16 เท่า ซึ่งเป็นระดับปานกลาง ไม่ถูกไม่แพงจนเกินไป ประกอบกับอีกหนึ่งปัจจัยอาจสนับสนุนตลาดในระยะอันใกล้ ได้แก่ การปรับเกณฑ์การคำนวณสัดส่วนการลงทุนในหุ้นของดัชนี MSCI ในรอบเดือนพฤษภาคมที่จะถึงนี้ ที่ให้นำหุ้น NDVR เข้ามารวมในการคำนวณน้ำหนักของดัชนีได้ ทำให้ตลาดหุ้นไทยถูกเพิ่มน้ำหนักการลงทุนจาก 2.3% เป็น 2.8% (รวมผลกระทบของการรวมดัชนี China A Share ซาอุดิอาระเบีย และอาร์เจนติน่าด้วยแล้ว) คิดเป็นวงเงินลงทุนรวม 7.6 หมื่นล้านบาทที่มีแนวโน้มไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยหลังการ Rebalance MSCI ในวันที่ 29 พฤษภาคม 2019 การที่ตลาดปรับตัวลงมาตั้งแต่ต้นเดือนพฤษภาคมนี้ น่าจะตอบรับความผิดหวังของกำไรในไตรมาส 1 ไปบ้างแล้ว และอาจเป็นจังหวะที่ดีในการเข้าสะสมหุ้นครับ