ถึงเวลาปรับตัวหรือยัง? เมื่อบัญชีเงินฝากจะไม่เหมือนเดิมอีกต่

ถึงเวลาปรับตัวหรือยัง? เมื่อบัญชีเงินฝากจะไม่เหมือนเดิมอีกต่

จากข่าวที่ปรากฏบนโลกออนไลน์เมื่อไม่กี่วันก่อนว่าทาง กรมสรรพากรจะปรับเปลี่ยนการเรียกเก็บภาษีหัก ณ ที่จ่าย ในส่วนของดอกเบี้ยเงินฝาก

จากเดิมที่ ดอกเบี้ยในส่วนที่ไม่เกิน 20,000 บาทจะไม่ต้องเสียภาษี มาเป็นการหักภาษี ณ ที่จ่ายของดอกเบี้ยที่ได้รับตั้งแต่บาทแรก โดยหากอยากจะได้รับการยกเว้นในส่วนของดอกเบี้ยนั้น จะต้องให้ทางเจ้าของบัญชีธนาคาร ไปแจ้งความประสงค์อนุญาตให้ธนาคารส่งข้อมูลกับกรมสรรพากร หากไม่แจ้งจะต้องนำดอกเบี้ยที่ได้รับ พร้อมหลักฐานไปยื่นภาษีเงินได้ประจำปี พร้อมหลักฐานเพื่อขอคืนภาษีในส่วนนี้

ผมเชื่อว่าจากเหตุการณ์นี้หลายๆคนคงมีความคิด ความสงสัยอยู่ไม่น้อยว่า แล้วอย่างนี้เราควรจะนำเงินฝากของเราไปไว้ที่ไหนดี วันนี้ผมมีบทความดีดีจากนักวางแผนการเงินของบริษัท Wealth Creation International Co., Ltd. คุณปิติพงษ์ รุ่งเรืองวุฒิกุล CFP® ที่ได้เขียนไว้เกี่ยวกับเรื่องเงินฝากนี้มาให้ได้อ่านกันครับ

"การประกาศเปลี่ยนแปลงเรื่องการเสียภาษีดอกเบี้ยเงินฝากที่ออกมานั้น คงทำให้หลายคนตื่นตระหนกกันไม่น้อย แต่ด้วยที่ประกาศออกมาค่อนข้างกระชั้นชิดทำให้หลายๆธนาคารเตรียมตัวไม่ทัน ทางสรรพากรจึงเปลี่ยนวิธีการมาเป็นให้ ธนาคารแจ้งข้อมูลบัญชีเงินฝากทั้งหมดกับทางสรรพากรแทน และให้ผู้ที่ไม่ประสงค์ให้แจ้งข้อมูล เป็นผู้ติดต่อธนาคารเพื่อแจ้งความจำนงไม่ให้ทางธนาคารส่งข้อมูลให้ทางสรรพากรแทน ซึ่งหลายท่านอาจคิดว่าเงินในบัญชีนั้นเป็นข้อมูลส่วนตัวของเรา

แต่ทว่าตามกฎหมายแล้ว ข้อมูลเงินในบัญชีเรามีอยู่เท่าไหร่จะถูกส่งให้กับหน่วยงานของรัฐ ที่ชื่อว่า สถาบันคุ้มครองเงินฝาก(กระทรวงการคลัง) อยู่เป็นประจำอยู่แล้ว โดยที่หน้าที่ของสถาบันคุ้มครองเงินฝากคือ การคุ้มครองเงินฝากให้แก่ผู้ฝากเงิน โดยจ่ายคืนเงินให้แก่ผู้ฝากโดยเร็วเมื่อสถาบันการเงินนั้นต้องปิดกิจการลง ซึ่งตั้งแต่วันที่ 11 สิงหาคม 2563 เป็นต้นไป ทางสถาบันจะคุ้มครองเพียงแค่ 1 ล้านบาทต่อคน ต่อ1 ธนาคารเท่านั้น


จากการที่วงเงินความคุ้มครองกำลังจะลดลงเหลือเพียงแค่ 1 ล้านบาท และความยุ่งยากในการบริหารภาษีที่เกิดขึ้น ผมว่าอาจจะถึงเวลาที่เราคงจะต้องปรับตัว มองหาทางเลือกอื่นในการลงทุนที่ให้ อัตราผลตอบแทนและสภาพคล่องใกล้เคียงกับการฝากเงินในธนาคาร

ทางผู้เขียนจึงอยากแนะนำให้ท่านผู้อ่านรู้จักกับ กองทุนรวมตราสารหนี้ตลาดเงิน (Money Market Fund) คือกองทุนรวมที่มีนโยบายการลงทุนในเงินฝากและตราสารหนี้ระยะสั้นที่มีกำหนดชำระเงินต้นเมื่อทวงถาม หรือมีอายุคงเหลือไม่เกิน 1 ปี โดยในส่วนของผลตอบแทนนั้น ผลตอบแทนเฉลี่ยของกองทุนรวมตราสารหนี้ตลาดเงินนั้น จากข้อมูล ของสมาคมบริษัทจัดการลงทุน ผลตอบแทนเฉลี่ยของกองทุนรวมตราสารหนี้ตลาดเงิน 5 ปีย้อนหลังอยู่ที่ปีละ 1.26% (ข้อมูล ณ สิ้นเดือน มีนาคม 2562)

โดยกองทุนนี้จะไม่ได้การันตีผลตอบแทนคงที่เหมือนกับดอกเบี้ยธนาคาร และเนื่องจากผลตอบแทนที่ได้รับ เกิดจากกำไรจากการขายหน่วยลงทุน ทำให้ไม่ต้องต้องเสียภาษี หัก ณ ที่จ่ายเหมือนดอกเบี้ยที่ได้รับจากธนาคาร ดังนั้นผลตอบแทน 1.26% จากกองทุนรวมตราสารหนี้ตลาดเงิน จะเทียบได้เท่ากับดอกเบี้ยธนาคารที่ 1.48% เลยทีเดียว

ซึ่งอย่างที่เราๆ ทราบกันดีว่า การจะหาผลตอบแทนที่ 1.48% จากการฝากเงินในธนาคารทุกวันนี้นั้นเป็นไปได้ยาก เว้นแต่จะเลือกฝากในรูปแบบของเงินฝากประจำ แต่ก็ต้องแลกมากับ สภาพคล่องที่หายไป เพราะ หากอยากได้ดอกเบี้ยสูง ก็ต้องฝากเงินไว้นาน ซึ่งต่างกับการลงทุนใน กองทุนรวมตราสารหนี้ตลาดเงินที่ ผู้ลงทุนสามารถ ซื้อขายเปลี่ยนหน่วยลงทุนเป็นเงินสดเมื่อไรก็ได้ โดยผู้ลงทุนจะได้รับเงินในวันถัดไป (T+1) หลังจากการส่งคำสั่งขาย โดยไม่มีผลต่ออัตราผลตอบแทนที่ได้รับ

ดูแล้ว กองทุนรวมตราสารหนี้ตลาดเงิน ดูเป็นการลงทุนที่น่าสนใจในแง่ของผลตอบแทน, ข้อได้เปรียบเรื่องของภาษีเมื่อเทียบกับเงินฝาก และ สภาพคล่อง แล้วในแง่ของความเสี่ยงละเป็นอย่างไรบ้าง

ในส่วนของกองทุนรวมตราสารหนี้ตลาดเงิน ผู้จัดการกองทุนจะนำไปลงทุนต่อใน ตราสารหนี้ระยะสั้นของรัฐ  (เช่นตั๋วเงินคลัง พันธบัตรระยะสั้น) ซึ่งถือว่าเป็นสินทรัพย์การลงทุนที่เสี่ยงน้อยที่สุดในตลาด เนื่องจากรัฐ เป็นผู้ออกนั้นเอง แต่ตัวกองทุนอาจจะที่จะขาดทุนได้ เนื่องจากตัวกองทุน จะมีการนำสินทรัพย์ที่ลงทุนไป เทียบกับราคาตลาด จึงอาจจะแสดงให้เห็นว่ามีการขาดทุนเพียงเล็กน้อย โดยหากถือต่ออีกสักหน่อยก็สามารถ ที่จะกลับมามีกำไรได้

หากผู้อ่านสนใจอยากจะเริ่มลงทุน ในกองทุนชนิดนี้ ทางผู้เขียนแนะนำให้ ศึกษา ว่ามี กองทุนรวมตราสารหนี้ตลาดเงิน ของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนใดที่น่าสนใจบ้าง เมื่อได้ กองทุนรวมตราสารหนี้ตลาดเงินที่ถูกใจแล้ว จึงดำเนินการติดต่อ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนนั้นๆ เพื่อดำเนินการต่อไปครับ หรือ จะเลือกรับคำปรึกษาแนะนำจากนักวางแผนการเงิน Wealth Strategist ก็เป็นอีกทางเลือกที่ช่วยให้ได้ลงทุนในกองทุนที่ดี และย่นเวลาได้อีกด้วยครับ”