เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา เทศกาลสงกรานต์ปี ๒๕๖๒ ได้ผ่านพ้นไปอีกวาระหนึ่ง อันเป็นไปตามวิสัยของกาลเวลา ที่ไม่เคยหยุดนิ่ง
ตราบที่โลกยังเคลื่อนไหวหมุนรอบตัวเอง และหมุนรอบดวงอาทิตย์ เกิดปรากฏการณ์น้ำขึ้น-น้ำลง มีสว่าง.. มีมืด...
หนึ่งวัน มี ๒๔ ชั่วโมง ซึ่งเป็นกำหนดเวลาปกติของชาวโลกเสมอกัน ไม่ว่าจะอยู่ในซีกโลกส่วนใด ด้วยความมีสัณฐานทรงกลมของโลกที่หมุน ๑ รอบ ๓๖๐ องศารอบโลก นักวิชาการจึงคิดลากเส้นแบ่งกึ่งกลางโลกไปบรรจบกันเป็นวงกลม เรียกเส้นอีเควเตอร์ (Equator) เมื่อได้เส้นกึ่งกลางโลกแล้ว จึงขีดแบ่งพื้นที่โลกออกเป็นส่วนๆ ออกไปอีก ๒๔ เส้น โดยเริ่มจากเส้นอีเควเตอร์ไปเส้นละ ๑๕ องศา จนครบ ๒๔ เส้น บรรจบ ๓๖๐ องศารอบโลกพอดี ซึ่งเส้นแรกกลายเป็นเส้นเวลามาตรฐานกรีนิช (Greenwich) ประเทศอังกฤษ ดังที่ทราบกันดี โดยประเทศไทยอยู่ที่เส้น ๑๐๕ องศาตะวันออก คำนวณเส้นแบ่งเวลาอยู่ที่เส้นที่ ๗ จาก ๒๔ เส้น ซึ่งแต่ละเส้นมีระยะเวลาห่างกันหนึ่งชั่วโมง นั่นหมายความว่า ประเทศไทยจะล้ำหน้าเวลาในอังกฤษประมาณ ๗ ชั่วโมง
เวลาจึงแสดงความไร้พรมแดนปิดกั้นมายาวนาน มีมาตรฐานสากลอันเสมอกัน ในความเสมอภาคต่อการเคลื่อนไหวของชีวิตที่มีระยะเวลาเท่าเทียมกันในแต่ละวัน การเคลื่อนไหวของมนุษย์จึงยึดกาลเวลาเป็นเครื่องกำกับ จนดูเหมือนว่า กาลเวลามีอิทธิพลต่อชีวิตอย่างยากจะหลีกเลี่ยง
กาลเวลาจึงบ่งบอกระยะการเดินทางอันยาวนานของโลก .. และบ่งบอกถึงระยะการเดินทางของทุกสรรพสิ่งในโลกนี้อย่างเป็นปกติ
เมื่อกาลเวลา ... เส้นทางชีวิต .. และเรื่องราวในการดำเนินชีวิต มีปฏิสัมพันธ์กัน จึงเกิดอำนาจแห่งธรรมในรูปกฎเกณฑ์กรรมอันเนื่องกับกาลเวลา เข้ามามีบทบาทในการควบคุมสัตว์โลกให้ต้องรับผลจากการกระทำ ภายใต้กำหนดของกาลเวลา .. ที่ยกระดับมามีอิทธิพลเหนือชีวิตของสัตว์โลกโดยปริยาย
จากกาลเวลาเมื่อเข้าสู่วิถีกฎแห่งกรรม ที่เป็นไปตามกฎธรรมชาติ จึงได้เห็นความสำคัญอย่างยิ่งของกาลเวลา ที่เข้ามามีบทบาทในชีวิตในการดำเนินไปตามจิตวิถี นั่นหมายถึง จิตวิถีทำงานสัมพันธ์ไปกับกาลเวลา .. บนเส้นทางชีวิตที่ถูกบันทึกร่องรอยเรื่องราวไว้ทุกขณะจิต ดังที่เมื่อไหร่จิตมีกำลัง(แรง) และความเร็วในการเข้าไปทำงานตามวิถีในชวนจิต ๗ ดวง ย่อมก่อเกิดผลตามเจตนาจิตหรือการกระทำของจิต ซึ่งจะให้ผลตามกำลัง(แรง)และความเร็วของขณะจิตนั้น ที่จะกลับมาสัมพันธ์กับกาลเวลาแห่งการเสวยผลนั้นอย่างน่าอัศจรรย์
กฎแห่งกรรม จึงมีกฎเกณฑ์กรรมแบ่งออกตามสภาพธรรม ๓ ลักษณะ ได้แก่ ตามกาล .. ตามกิจ .. ตามกำลัง โดยเมื่อไหร่ถ้ากาล กิจ กำลัง สัมพันธ์กันในลักษณะธรรมสูงสุดทั้งสามส่วน การให้ผล(วิบาก) ย่อมเป็นปัจจุบันธรรมทันทีตามลักษณะกรรมนั้นๆ ไม่ว่าจะเป็นกุศลกรรมหรืออกุศลกรรม
ดังนั้น บนเส้นทางแห่งกาลเวลา ที่ทุกชีวิตดำเนินไป จึงย่อมต้องรับผลจากการกระทำ อันเป็นไปตามกฎแห่งกรรม ที่ควบคุมสัตว์โลกไว้อย่างเสมอภาคกัน ไม่ว่าจะอยู่ในส่วนใดของโลกหรือจะอยู่ในภพภูมิใด จนดูเหมือนว่า กาลเวลามีอิทธิพลกลืนกินทุกชีวิตให้เป็นไปตามกฎเกณฑ์กรรม... ทั้งๆ ที่ แท้จริงแล้ว กาลเวลาหรือกำหนดระยะเวลา เป็นเพียงเครื่องหมายบ่งบอกกำหนดระยะทางชีวิตที่ดำเนินไปตามวิถีธรรม.. ซึ่งหากพฤติกรรมของแต่ละชีวิตเป็นไปอย่างไร ในแต่ละห้วงเวลา ก็ต้องรับผลเช่นนั้น... ดังตามที่ปรากฏในทุกปีว่า ในเทศกาลสงกรานต์จะต้องมีการสูญเสียชีวิตกันจำนวนมาก.... ทั้งด้วยอุบัติภัยและการฆาตกรรมทำร้ายกัน... ทั้งนี้ เพราะเป็นพฤติกรรมที่ไม่เปลี่ยนแปลงในกาลเวลาดังกล่าวนั่นเอง...
เจริญพร