10 สงครามอภิมหาอำนาจ(1)

10 สงครามอภิมหาอำนาจ(1)

ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา ประเทศจีนมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจสูงมาก ทำให้จีนก้าวขึ้นมาท้าทายสหรัฐซึ่งเป็นอภิมหาอำนาจเดิม

 โดยมีการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจีนจะแซงหน้าสหรัฐภายในปี 2030

หากพิจารณาสถานการณ์โลกด้วยแนวคิด “วัฏจักรอภิมหาอำนาจ” (Hegemonic cycle) ซึ่งอธิบาย 5 กระบวนการของการเป็นอภิมหาอำนาจโลก อันประกอบด้วย การเกิดขึ้นของอภิมหาอำนาจ การฟื้นฟูและขยายตัวของประเทศอื่น การก้าวขึ้นมาเป็นคู่แข่งขันของอภิมหาอำนาจ การท้าทายต่ออภิมหาอำนาจ และสงครามระหว่างอภิมหาอำนาจ (hegemonic wars) อาจกล่าวได้ว่าโลกกำลังก้าวเข้าสู่สงครามอภิมหาอำนาจ

ปัจจุบัน เราเริ่มเห็นสัญญาณของสงครามอภิมหาอำนาจแล้ว ซึ่งสงครามในที่นี้ไม่ได้หมายถึงการใช้กำลังทหารเข้าห้ำหั่นกันเท่านั้น แต่สงครามระหว่างสหรัฐและจีนที่เกิดขึ้นแล้วและกำลังจะเกิดขึ้น จะปรากฏในหลากหลายรูปแบบ

1.สงครามการค้า (Trade War)

ในปีที่ผ่านมา สหรัฐได้ขึ้นภาษีศุลกากรต่อสินค้านำเข้าจากจีน ขณะที่จีนได้ตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีในระดับที่ใกล้เคียงกัน ทำให้มีการขึ้นภาษีตอบโต้กันไปมาหลายระลอก ก่อนที่จะมีการเจรจาเพื่อระงับการขึ้นภาษีชั่วคราว ซึ่งสงครามการค้าครั้งนี้ไม่เพียงส่งผลกระทบทั้งต่อสหรัฐและจีน แต่ยังสร้างผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจโลกด้วย

เหตุผลสำคัญที่สหรัฐทำสงครามการค้ากับจีน คือ การลดการขาดดุลทางการค้าและการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาของสหรัฐ แต่ผมเชื่อว่าเหตุผลสำคัญที่สุดคือการลดความร้อนแรงของเศรษฐกิจจีน เพื่อสกัดกั้นการก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจเศรษฐกิจเบอร์ 1 ของจีน

อีกเหตุผลหนึ่งคือ การยับยั้งการพัฒนาอุตสาหกรรมไฮเทคในประเทศจีน ตามนโยบาย Made in China โดยอ้างว่าจีนทำการค้าที่ไม่เป็นธรรม เนื่องจากรัฐบาลจีนใช้แนวทางเศรษฐกิจแบบ state capitalism ซึ่งรัฐบาลมีบทบาทสูงในการพัฒนาอุตสาหกรรมผ่านรัฐวิสาหกิจของจีน และผ่านการอุดหนุนและปกป้องอุตสาหกรรมของจีน

2.สงครามอัตราแลกเปลี่ยน (Currency War)

การที่เงินดอลลาร์เป็นสกุลเงินหลักในการทำการค้าโลกและในทุนสำรองระหว่างประเทศ สหรัฐจึงอาจใช้ความได้เปรียบนี้เป็นเครื่องมือทำสงครามอัตราแลกเปลี่ยน เพราะการกำหนดนโยบายการเงินของสหรัฐสามารถสร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจจีนและเศรษฐกิจโลกได้

อย่างไรก็ดี สหรัฐมีหนี้สาธารณะเป็นจำนวนมาก ขณะที่จีนเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ของสหรัฐ โดยการเข้าไปซื้อพันธบัตรของสหรัฐ ทำให้จีนถือไพ่ที่เหนือกว่าสหรัฐเพราะหากจีนลดการถือครองพันธบัตรสหรัฐ จะทำให้มูลค่าพันธบัตรและค่าเงินสหรัฐลดลงมาก ถึงกระนั้นหากจีนทำเช่นนั้นจะส่งผลกระทบต่อฐานะทุนสำรองระหว่างประเทศของจีนเช่นกัน

ที่ผ่านมา จีนพยายามเพิ่มสัดส่วนการถือครองทองคำและสินทรัพย์อื่นๆ ในเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ และลดการถือครองพันธบัตรสหรัฐ เพราะหากจีนเทขายพันธบัตรสหรัฐจะทำให้มูลค่าพันธบัตรและค่าเงินดอลลาร์ลดลง แต่ราคาทองคำและทรัพย์สินเหล่านี้จะเพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้มูลค่าเงินทุนสำรองของจีนไม่ได้รับผลกระทบมากนัก

ยิ่งไปกว่านั้น รัฐบาลปักกิ่งยังดำเนินนโยบายลดบทบาทของเงินดอลลาร์ (De-Dollarization) โดยพยายามทำให้เงินหยวนกลายเป็นสกุลเงินสากล เช่น การผลักดันให้เงินหยวนเข้าไปอยู่ในตะกร้าเงิน SDR (Special Draw Rights) ซึ่งทำให้เงินหยวนถูกนำไปอยู่ในเงินทุนสำรอง และใช้ในการค้าระหว่างประเทศมากขึ้น การจัดทำข้อตกลงกับประเทศคู่ค้าเพื่อทำการค้าด้วยเงินหยวน การปล่อยเงินกู้เป็นสกุลเงินหยวน เป็นต้น

3.สงครามเทคโนโลยี (Tech War)

สงครามนี้มีความเข้มข้นมากขึ้น เนื่องจากจีนต้องการขึ้นเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีในหลายสาขา ด้วยการทุ่มเทงบประมาณวิจัยและพัฒนา การกว้านซื้อกิจการด้านเทคโนโลยีในต่างประเทศ การกีดกันบริษัทเทคโนโลยีของต่างชาติในตลาดจีน รวมทั้งการกำหนดเงื่อนไขการถ่ายทอดเทคโนโลยี

ปัจจุบัน จีนก้าวขึ้นเป็นประเทศชั้นนำด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมของโลก สังเกตได้จากการยื่นจดสิทธิบัตรที่มีมากที่สุดในโลก (WIPO, 2017) มากกว่าสหรัฐที่เป็นอันดับ 2 กว่า 1 เท่าตัว และบริษัท Meituan Dianping ของจีนถูกจัดเป็นอันดับ 1 ของบริษัทที่มีนวัตกรรมดีเด่น (FastCompany, 2019)

สหรัฐตระหนักถึงภัยคุกคามของจีน จึงพยายามสกัดกั้นการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมของจีนด้วยวิธีการต่างๆ ทั้งการกล่าวหาว่าจีนขโมยทรัพย์สินทางปัญญาของสหรัฐ หรือทำสงครามการค้าเพื่อยับยั้งการพัฒนาอุตสาหกรรมไฮเทคในประเทศจีนดังที่กล่าวข้างต้น

สหรัฐยังพยายามทำลายความน่าเชื่อถือของเทคโนโลยีจากจีน ดังกรณีที่ เหมิง หวันโจว CFO ของหัวเว่ย ถูกแคนาดาควบคุมตัวภายใต้การร้องขอของสหรัฐ โดยกล่าวหาว่าหัวเว่ยขายสินค้าโทรคมนาคมกับประเทศอิหร่านซึ่งถูกบอยคอต รวมทั้งยังเรียกร้องให้พันธมิตรทั่วโลกแบนผลิตภัณฑ์ของหัวเว่ย โดยโจมตีว่าไม่มีความปลอดภัยของข้อมูลของผู้ใช้งาน

4.สงครามข้อมูลข่าวสาร (Info War)

สงครามข้อมูลข่าวสารมีความสำคัญมากขึ้น เนื่องจากมีการพัฒนาเทคโนโลยีที่เอื้อต่อการทำสงครามรูปแบบนี้ ทั้งนี้สงครามข้อมูลข่าวสารอาจจำแนกได้เป็นหลายรูปแบบ อาทิ สงครามอิเล็กทรอนิกส์ (เช่น การรบกวนหรือแทรกแซงคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า) สงครามไซเบอร์ (เช่น การแทรกแซงและเจาะระบบสารสนเทศ การล้วงข้อมูล การดักฟัง) สงครามจิตวิทยา (เช่น ปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร การสร้างข่าวลวง) เป็นต้น

ในฐานะอภิมหาอำนาจเดิม สหรัฐมีความพร้อมในการทำสงครามข้อมูลข่าวสาร ทั้งในเชิงความรู้ ความเชี่ยวชาญ บุคลากร โครงสร้าง องค์กร เทคโนโลยี และยุทธวิธี ขณะที่กองทัพปลดปล่อยประชาชนจีนได้ปรับเปลี่ยนมุมมองของสงครามไปสู่สงครามข้อมูลข่าวสารมากขึ้น เนื่องจากจีนมองว่าสหรัฐมีแสนยานุภาพทางการทหารเหนือกว่า การเอาชนะจำเป็นต้องใช้ยุทธศาสตร์และการทำสงครามข้อมูลข่าวสาร

ที่ผ่านมา เราได้เห็นการทำสงครามข้อมูลข่าวสารของจีนต่อสหรัฐมากขึ้น เช่น การกล่าวหาว่าจีนขโมยข้อมูลของเครื่องบิน F-35 ของบริษัทล็อคฮีตมาร์ติน เพื่อนำไปพัฒนาเครื่องบิน J-31 การจัดทำรายงานการละเมิดสิทธิมนุษยชนในสหรัฐ เป็นต้น

5.สงครามสื่อ (Media War)

สงครามสื่อแตกต่างจากสงครามข้อมูลข่าวสาร คือ สงครามสื่อเน้นการจัดการและควบคุมสื่อ หรือช่องทางการสื่อสารข้อมูลไปสู่สาธารณะ ขณะที่สงครามข้อมูลข่าวสารเน้นการจัดการและควบคุมสารที่เฉพาะเจาะจง โดยเฉพาะข้อมูลทางการทหาร

สหรัฐมีความได้เปรียบในสงครามสื่อในเชิงรุก เนื่องจากอุตสาหกรรมและบริษัทสื่อยักษ์ใหญ่ของโลกอยู่ในสหรัฐ ทั้งสำนักข่าว สื่อสิ่งพิมพ์ สื่อโทรทัศน์ สื่อด้านบันเทิง หรือแม้แต่สื่อสังคมออนไลน์ ทำให้สหรัฐมีโอกาสในการจัดการความเห็นของสาธารณะ เพื่อสร้างความชอบธรรมแก่สหรัฐ หรือโจมตีภาพลักษณ์ของศัตรู

ขณะที่จีน มีความได้เปรียบในสงครามสื่อในเชิงรับ เพราะรัฐบาลจีนสามารถควบคุมสื่อในประเทศได้แบบเบ็ดเสร็จ และจีนยังพยายามรุกคืบในแนวรบนี้ โดยการเข้าไปซื้อกิจการด้านสื่อและการผลิตภาพยนตร์ของสหรัฐ

ในบทความครั้งต่อไป ผมจะกล่าวถึงอีก 5 แนวรบของสงครามอภิมหาอำนาจครับ