อนาคตหมด

อนาคตหมด

จะว่าไปคดีโอนหุ้นที่ “หัวหน้าทีมอัศวินสีส้ม” โดนกล่าวหา ก็น่าจะเป็นหมัดน็อค “ไพร่หมื่นล้าน” ได้อยู่แล้ว...

โดยเฉพาะการไถลเถลือกเรื่องวันที่ 8 มกราฯ ว่าอยู่มหานครกรุงเทพฯ หรือเดินสายเป็นเซเลบอยู่บุรีรัมย์ เพราะหลักฐานมันตอกย้ำชัดยิ่งกว่าชัด ถึงขนาดสาวกสีส้มเองก็ยังคาใจ

แต่การที่ใครก็ไม่รู้ไปเปิดไฟเขียวให้ฝ่ายความมั่นคงเดินหน้าบดขยี้่ด้วยคดีค้างเก่า ด้วยข้อหาโบราณที่คนรุ่นใหม่ยุค “ไฟแรงเฟร่อ” มองเหมือนท่องอาขยาน แถมยังถีบส่งให้ขึ้นศาลทหาร งานนี้ต้องบอกว่าทำให้เกิดกระแสตีกลับ

ไม่ใช่เฉพาะพวกฝรั่งมังค่าตามไปเชียร์ถึงโรงพักเท่านั้น แต่พวกที่กำลังตั้งใจฟังคำสัมภาษณ์เพื่อจับให้มั่นคั้นให้ตายว่าวันที่ 8 มกราฯ คุณอยู่ที่ไหนกันแน่ การณ์ก็เลยเปลี่ยนแปรกลับกลายเป็นความสงสารและเห็นอกเห็นใจขึ้นมาแทน เพราะสภาพเหมือนกำลังถูกรุม ถูกแกล้ง กลายเป็น “พ่อของฟ้า” กำลังท้าทายอำนาจเผด็จการ

นี่ยังไม่นับข้อหาเก่าๆ อีกบานที่เตรียมประเคนให้แบบล้างผลาญ ล้วนอุดมไปด้วยความผิดฉกรรจ์

ถือเป็น บท(ไม่ยอม)เรียน ของฝ่ายผู้มีอำนาจ เพราะประวัติศาสตร์เมื่อวานซืนกรณี “นายใหญ่-คนแดนไกล” ที่ถูกรุกไล่จนไม่มีแผ่นดินอยู่ (เฉพาะไทย) นานกว่า 1 ทศวรรษ แต่ความนิยมยังแรงจัดฝังแน่นอยู่ในหัว(ใจ)ของผู้คนจำนวนมาก ถึงขนาดต้องออกแบบการเลือกตั้งให้เสียงน้อยมีโอกาสพลิกชนะเสียงมาก สวนทางระบบเสียงข้างมากชนิด 360 องศา

หากมองการเมืองบนเรื่อง “พลวัตของโลก” และการเติบโตของกระแสนิยม “คนขบถรุ่นใหม่” ต้องบอกว่าวิถีมันเร้าใจกว่าการไล่ล่าด้วยข้อหาเป็นภัยต่อความมั่นคง เพราะเมื่อโลกทั้งใบเชื่อมโยง นิยามความมั่นคงย่อมไม่เหมือนเดิม ฉะนั้นหากยังคิดแบบเดิมๆ ด้วยตรรกะซ้ำเดิม โดยไม่เรียนรู้วิธีคิดและตัดสินใจของคนรุ่นใหม่ งานนี้ทำนายผลเลยก็ได้...เตรียมแพ้ทั้งกระดาน

บางทีการเป็นคนรุ่นเก่า ก็ไม่ควรลืมนำวิธีคิดวิเคราะห์แบบเก่าๆ ที่เคยประณีตและแม่นยำกลับมาใช้ด้วย ไม่ใช่ไหลไปตามโซเชียลฯ ทั้งที่ปากก็ด่าเขาอยู่ ลองไปนั่งไล่ดูคะแนนผู้สมัครเสื้อสีส้มในเขตที่พรรคบิ๊กเซอร์ไพรส์ไม่ได้ส่ง แล้วจะรู้ว่าเรื่องจริงคืออะไร พรรคเก่าแก่ที่สุดของเมืองไทยได้แค่พันสี่ พันห้า แต่พรรคเด็กเมื่อวานซืนได้เฉลี่ยสองหมื่นห้าแทบทุกเขต ฉะนั้นอย่ามุ่งแต่หาเหตุเพื่อปลอบใจตัวเอง

มิฉะนั้นคนที่อนาคตหมด อาจไม่ใช่พวกอนาคตใหม่ แต่อาจเป็นคนที่ไม่รู้ว่าวัยรุ่นเขาขำอะไรในหนังไทย “เมย์ไหน ไฟแรงเฟร่อ”