เรื่องเบาๆ กับแนวคิดของหมอหงวน

เรื่องเบาๆ กับแนวคิดของหมอหงวน

ดูข่าวการประชุมรำลึกถึงนพ.สงวน นิตยารัมพงษ์ ที่ชาวรักหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าจัด เมื่อเดือนต้นปีที่ผ่านมา

ภาพที่ปรากฎในข่าวนั้นถือเป็นการรวมตัวของผู้สนับสนุนแนวคิดประกันสุขภาพถ้วนหน้าตั้งแต่ยุคแรกเริ่ม

จริงๆแล้ว ไม่รู้จัก นพ.สงวน หรือหมอหงวนเลย แต่ทราบเรื่องแนวคิดและผลงานของคุณหมอจากการอ่านและสื่อต่างๆ และเคยดูสารคดีประวัติการทำงานของนายแพทย์สงวนที่ทีวีช่องหนึ่งนำเสนอเมื่อปีที่แล้ว ทำให้เข้าใจถึงความตั้งใจของท่านที่จะให้ประชาชนคนยากคนจนอยู่ห่างไกลความเจริญได้มีสุขภาพที่ดีขึ้นจากโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า เขียนอย่างนี้ ต้องตีความโดยเคร่งครัดว่า เจตนารมณ์ของหมอหงวนคือการให้ผู้ขัดสนที่ไม่สามารถเข้าถึงการรักษาพยาบาลอยู่ห่างไกลความเจริญไกลเมืองได้มีโอกาสอย่างทั่วถึง ไม่ได้หมายความว่าให้คนทั้งประเทศได้รับหลักประกันสุขภาพเหมือนกันหมด รวมทั้งผู้ที่ไม่จำเป็นและไม่ต้องการ ก็ได้รับด้วย

การยอมรับนับถือในเจตนารมณ์เพื่อช่วยคนยากคนจนเป็นที่ยอมรับ กระทรวงสาธารณสุขก็ให้เกียรติท่านตั้งเป็นชื่อห้องประชุมใหญ่ของกระทรวง องค์กรภาคประชาชนสรรเสริญท่านในฐานะผู้ให้กำเนิดหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า องค์กรที่ดำเนินการต่อมาใช้เจตนารมณ์และการริเริ่มดำเนินงานที่ทำอย่างยากลำบากกว่าโครงการจะเกิด เป็นแรงจูงใจให้ยึดถือปฏิบัติ และเผยแพร่แนวคิดจนองค์การอนามัยโลกให้การสนับสนุนเป็นแบบอย่างที่ทุกประเทศควรมีโครงการนี้ ส่วนตัว ก็ชื่นชมในเจตนารมณ์ของหมอหงวนที่มุ่งมั่นช่วยเหลือคนยากคนจนที่ขัดสนให้สามารถเข้าถึงระบบสุขภาพได้อย่างถ้วนหน้า

แต่ดูเหมือนว่าเจตนารมณ์ของหมอหงวนถูกบิดเบือนไม่ใช่น้อย เมื่อนักการเมือง พรรคการเมือง ได้หยิบยกเอาเป็นนโยบายหาเสียง และขยายแนวคิดของหมอหงวนที่ต้องการให้ประชาชนผู้ยากไร้ด้วยข้อจำกัดต่างๆเข้าถึงระบบสุขภาพถ้วนหน้า โดยพรรคการเมืองได้ขยายครอบคลุมประชาชนทุกคน แม้ไม่ยากจนไม่ขัดสนและไม่ต้องการไม่จำเป็น ก็ให้ได้รับหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าทั้งหมด จากนั้นมา ก็ได้เห็นโครงการอีกมากมายตามมาในลักษณะถ้วนหน้าผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด ไม่ว่ากองทุนโรงเรียน กองทุนหมู่บ้าน กองทุนกู้ยืมต่างๆ กองทุนผู้ชรา รวมทั้งของฟรีทั้งรถไฟฟรี รถเมล์ฟรี ค่าน้ำค่าไฟฟรี สาธารณูปโภคฟรี ตามมาด้วยเงินช่วยเหลือค่าโน่นค่านี่จิปาถะ รวมทั้งหมดตั้งอยู่บนหลักการเดียวกันคือให้ฟรีแจกฟรีแบบถ้วนหน้า เพราะไม่ต้องการได้ชื่อว่าสร้างความเหลื่อมล้ำที่ให้บางคนไม่ให้บางคน ทุกคนจึงได้หมด

สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาคือเรื่องราวการทุจริตประพฤติมิชอบของบุคคลากรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการให้ฟรีถ้วนหน้าตั้งแต่ทุจริตนมโรงเรียน ทุจริตค่าอาหารกลางวัน ทุจริตหนังสืออุปกรณ์การเรียน ทุจริตเสื้อผ้าชุดนักเรียน ทุจริตสร้างสนามเด็กเล่นโรงเรียน ทุจริตเงินกองทุน และอีกมากมายที่ผุดตามขึ้นมาเป็นดอกเห็ดพร้อมๆกับโครงการประชานิยมแบบเข้มข้น

ลักษณะการให้แบบถ้วนหน้าโดยไม่คำนึงถึงความต้องการหรือความจำเป็นของกลุ่มคนที่แตกต่างกันนำมาซึ่งความแตกแยกในสังคม เพราะเงินเหล่านี้มาจากภาษีประชาชน แต่ถูกนำมาหว่านอย่างไม่มีขอบเขตจำกัด และนี่คือต้นเหตุของการสร้างความเหลื่อมล้ำในสังคมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะการให้ทุกคนได้เหมือนกันเท่ากันก็ไม่ต่างจากการยกระดับความเหลื่อมล้ำให้สูงขึ้นไปอีก เมื่อทุกคนได้เหมือนกัน แล้วความเหลื่อมล้ำจะหมดไปได้อย่างไร

ความเหลื่อมล้ำนี้ เป็นการนำมาซึ่งปัญหาที่แก้ไม่ตก ช่องว่างของความเหลื่อมล้ำที่ยังคงเท่ากันเป็นเพราะระบบให้แบบถ้วนหน้าที่ไม่แยกแยะ เอาง่ายเข้าว่า จึงอาจพูดได้ว่าระบบแจกฟรีแบบถ้วนหน้านำมาซึ่งนโยบายประชานิยมที่เข้มข้น ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำในสังคมที่ยากจะแก้ไข และนำมาซึ่งการทุจริตคอรัปชั่นจากโครงการให้ฟรีแจกฟรี โดยไม่พิจารณาความจำเป็นและความต้องการจริงของประชาชนที่ต่างกัน องค์การระหว่างประเทศเพื่อความโปร่งใส หรือTransparency International ก็ดี ที่ประชุม World Economic Forum ก็ดี ธนาคารโลก (World Bank) ก็ดี ต่างก็ออกมาขานรับว่านี่คือ ต้นเหตุแห่งการทุจริตคอรัปชั่นที่สำคัญ

หันมามองแนวคิดของหมอหงวน เชื่อว่าหมอหงวนที่เป็นหมอ

ชนบทนั้นมีเจตนารมณ์ที่จะให้ประชาชนคนยากคนจนเท่านั้นได้เข้าถึงระบบสุขภาพเหมือนกัน ไม่ถูกจำกัดการเข้าถึงเพราะเหตุที่เป็นคนจน รัฐจึงต้องสนับสนุนให้คนยากคนจนเหล่านี้ได้รับสวัสดิการแบบถ้วนหน้า แต่ไม่ใช่ให้คนรวยคนที่มีความสามารถในการหารายได้หรือแม้แต่คนที่ไม่จำเป็นต้องได้รับด้วย แนวคิดของหมอหงวนจึงน่าจะเป็นสิ่งที่เรียกว่าการให้กลุ่มเป้าหมายอย่างถ้วนหน้า หรือถ้วนหน้าอย่างมีเป้าหมาย เป็น Universal-targeting Coverage มากกว่าให้แบบถ้วนหน้าอย่างไม่มีขอบเขต หรือ Universal Coverage ดังที่เข้าใจกัน

จึงคิดว่าเจตนารมณ์ของหมอหงวนได้ถูกบิดเบือนไปอย่างมากจากนักการเมืองและพรรคการเมืองที่ต้องการขยายฐานเสียงสร้างความชื่นชอบในนโยบายให้ฟรีแบบถ้วนหน้า เพราะรู้ว่าเป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่ใครๆก็ชอบของฟรี และถ้าสามารถทำให้ประชาชนเสพติดของฟรีได้ ก็หมายความว่าจะได้ฐานเสียงที่แน่นอนสร้างความมั่นคงให้กับพรรคการเมืองในทุกครั้งที่มีการเลือกตั้ง

ที่จริงนโยบายแบบถ้วนหน้านี้ก็มีเสียงสะท้อนมาเรื่อยๆถึงความไม่สมควร ถึงขนาดที่รัฐบาลเคยเอ่ยปากเช่นโครงการชุดนักเรียน ถ้าใครไม่จำเป็นก็สละสิทธิ์หรือขอให้คืน โครงการช่วยเหลือคนชราที่ได้เบี้ยคนชรา ถ้าใครไม่จำเป็นก็ขอให้บอกเลิก แต่เป็นเสียงเล็กๆที่ไม่มีคนสนใจ เพราะคิดว่าไม่ใช่เสียงคนส่วนใหญ่

แนวคิดของหมอหงวนที่ต้องการให้คนยากคนจนได้เข้าถึงระบบสุขภาพอย่างถ้วนหน้านี้ ยังจำเป็นต้องมีต่อไป เลิกไม่ได้ จนกว่าความเหลื่อมล้ำจะหมดไปจากสังคม เรายังมีคนยากคนจนมีรายได้ต่ำกว่าเส้นแบ่งความยากจนจำนวนมาก รัฐต้องเข้าไปช่วยเหลือยกระดับให้พวกเขาลืมตาอ้าปาก ลดความเหลื่อมล้ำในสังคม พยายามให้พวกเขาช่วยตัวเองทำงานหารายได้ให้มากขึ้น ยืนอยู่บนขาตัวเองได้มากขึ้น หายใจด้วยจมูกของตัวเองได้มากขึ้น

ในระบบสุขภาพนั้น งบประมาณที่รัฐจ่ายให้คนที่ไม่จำเป็น 28 ล้านคนนั้นควรนำกลับมาเพิ่มให้คน 20 ล้านคนที่รับบริการได้รับบริการที่ดีขึ้น ได้ยาที่ดีขึ้น ได้รับการดูแลสุขภาพที่ดีขึ้น ไม่ใช่ได้รับบริการแค่พื้นๆ ที่ไม่ต่างกับคนอนาถา ซึ่งไม่ได้ทำให้คุณภาพชีวิตของพวกเขาดีขึ้นอย่างไร เพียงแค่แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าเป็นครั้งคราวแล้วก็กลับไปเหมือนเดิม

เชื่อว่าแนวคิดของหมอหงวนที่แท้จริงนั้นเป็นแนวคิดที่ให้บริการถ้วนหน้าเฉพาะกลุ่มเป้าหมายที่เป็น Universal-targeting Coverage เท่านั้น ไม่ได้หมายถึงการให้แบบถ้วนหน้าแบบเหวี่ยงแหอย่างไม่มีเป้าหมายเหมือนอย่างที่รัฐบาลและหลายๆพรรคการเมืองกำลังออกนโยบายที่ไม่ต่างกันในขณะนี้ ที่เป็นแค่เพียงการเกทับว่าใครให้มากกว่ากันในจำนวนเท่าไรเท่านั้น เพราะระบบการให้แบบถ้วนหน้าโดยไม่พิจารณากลุ่มเป้าหมายนี้ เป็นเรื่องของนักการเมืองและพรรคการเมืองล้วนๆ ไม่ใช่ความคิดของหมอหงวนแน่นอน เป็นเรื่องบิดเบือนของนักการเมืองที่น่ารังเกียจอย่างยิ่ง