อดีต-ปัจจุบัน-อนาคต

อดีต-ปัจจุบัน-อนาคต

ในเรื่องของการวิเคราะห์หุ้นแบบพื้นฐานและระยะยาวนั้น  บ่อยครั้งเรามักจะพูดถึงเรื่องของ S-Curve

ซึ่งเป็นกราฟที่มีแกนนอนเป็นระยะเวลาและแกนตั้งเป็นยอดขายหรือการเติบโตของบริษัท   กราฟนี้มีลักษณะคล้ายตัว S นั่นก็คือ  ในช่วงแรก ๆ  ของบริษัท  ยอดขายหรือรายได้มักจะโตขึ้นอย่างช้า ๆ  ความชันมีน้อยมาก  จนถึงจุดหนึ่งที่เป็น  “จุดเปลี่ยน” ที่สำคัญ  ยอดขายก็จะปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว  ใช้เวลาเพียงไม่กี่ปียอดขายก็โตขึ้นอย่าง “ก้าวกระโดด”  เป็นเท่าตัวหรือมากกว่านั้น 

มองจากกราฟก็จะเห็นเป็นเส้นที่ชันมาก  เราเรียกช่วงเวลานี้ว่าเป็นช่วง “โตเร็ว”  แต่หลังจากที่กิจการโตมาจนถึงจุดหนึ่งและบริษัทอาจจะมีขนาดใหญ่แล้ว   การเติบโตก็จะช้าลงและช้าลงเรื่อย ๆ  จนถึงจุด “อิ่มตัว”  และไม่โตอีกต่อไปหลังจากนั้น

นักลงทุนที่ชอบเล่นหุ้น Growth หรือหุ้นโตเร็วจะพยายามหาจุดที่บริษัทเริ่มมียอดขายเพิ่มขึ้นมากกว่าที่เคยเป็นในอดีตอย่างชัดเจน  เช่น  บริษัทเคยโตประมาณปีละ 5-6% โดยเฉลี่ยในระยะ 4-5 ปีที่ผ่านมา  แต่อยู่ ๆ  มันก็โตขึ้น 20% ในปีนี้ อาจจะเพราะมีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในบริษัทเช่น  บริษัทมีการเปิดตลาดใหม่ในต่างประเทศหรือมีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูงและเขาเชื่อว่าบริษัทจะสามารถรักษาระดับการเติบโตนั้นได้ต่อเนื่องไปในอนาคต  และนี่ก็คือจุดเริ่มของการโตอย่างก้าวกระโดด  เขาจะต้องรีบเข้าไปซื้อหุ้นก่อนที่ราคาหุ้นจะวิ่งขึ้นไปสูงมากและพลาดโอกาสที่จะทำเงินมหาศาลในระยะเวลาอันสั้น

หุ้นที่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่องไปนานอย่างน้อย 3-5 ปีนั้นเรียกว่าเป็นหุ้น “โตเร็ว”  คนที่เข้าไปซื้อหุ้นในช่วงนี้และถือไว้ก็มักจะได้ผลตอบแทนที่ดีโดยคนที่เข้าไปก่อนเป็นคนแรก ๆ  ก็จะได้กำไรเป็นกอบเป็นกำเพราะเขามักจะซื้อที่ราคาต่ำมาก  กำไรอาจจะเป็นหลาย ๆ เท่าหรือ  “หลาย ๆ เด้ง” ในภาษาชาวหุ้น 

คนที่เข้าไปซื้อเมื่อหุ้นขึ้นไปมากแล้วแต่ถ้ากิจการก็ยังเติบโตต่อไปกำไรเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  ก็ยังมักจะได้กำไร แต่ก็ไม่มากนักเนื่องจากต้นทุนราคาหุ้นที่ค่อนข้างสูง  ในขณะที่ถ้าเข้าไปซื้อแล้วหลังจากนั้นรายได้และกำไรของบริษัทเริ่มไม่โตหรือโตช้าลงมาก  เขาก็อาจจะขาดทุนได้และก็อาจจะขาดทุนอย่างหนักถ้ากำไรของบริษัทถดถอยลงในขณะที่หุ้นที่ซื้อมีราคาแพงมากเช่นค่า PE สูงเกิน 50 เท่าเป็นต้น 

และนี่ก็คือ “ซีนาริโอ” หรือสถานการณ์ต่าง ๆ  ที่อาจจะเกิดขึ้นได้กับการเล่นหุ้น Growth หรือหุ้นโตเร็วที่อาจจะทำกำไรได้สุดยอด  หรืออาจจะแค่พอใช้ได้  หรือไม่ก็ขาดทุนได้เช่นกันถ้ามอง S-Curve ไม่ออกว่าบริษัทกำลังอยู่ในจุดไหน

ช่วงที่หุ้น Growth กำลังโตนั้น  ก็มักจะแบ่งเป็นช่วงแรกที่เริ่มโตจริง ๆ  ซึ่งบริษัทโตเร็วมาก ส่วนหนึ่งเนื่องมาจากฐานของบริษัทที่ยังเล็กอยู่  แต่เมื่อบริษัทมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ การเติบโตก็มักจะช้าลงและช้าลงไปเรื่อย ๆ  อย่างไรก็ตาม  ในช่วงนี้บริษัทก็มักจะมีความ “แข็งแกร่ง”  มากขึ้นและสามารถต่อสู้ป้องกันการแข่งขันจากคู่แข่งได้ดีขึ้น 

บางบริษัทอาจกลายเป็นผู้นำที่โดดเด่นและสามารถเติบโตได้อย่างมั่นคงแม้ว่าการเติบโตนั้นจะไม่ได้สูงพอที่จะเรียกว่าเป็น  “หุ้นเติบโต” เช่น  กำไรเพิ่มปีละแค่ 10-15%  ในสถานการณ์แบบนี้  หุ้นก็อาจจะเรียกว่าเป็นหุ้นแข็งแกร่งหรือบางบริษัทที่โตมานานและกลายเป็นผู้นำในธุรกิจก็อาจจะกลายเป็นหุ้น “บลูชิพ” ที่มักจะให้ผลตอบแทนที่ดีใช้ได้ใกล้เคียงกับดัชนีตลาดและมีความเสี่ยงน้อยในการลงทุน

หุ้นบางตัวหรือบางบริษัทนั้น  เมื่อโตถึงจุดหนึ่งแล้วก็ไม่สามารถโตต่อไป จนมีความสามารถในการแข่งขันเหนือคู่แข่งที่อาจจะใหญ่กว่า  หรือบางทีก็โตไปจนมีขนาดใหญ่โตแต่สุดท้ายก็พ่ายแพ้แก่บริษัทใหม่ ๆ ที่มีเทคโนโลยีที่เหนือกว่าเข้ามาทำลายหรือ Disrupt ทำให้บริษัทตกต่ำลงและต่ำลงเรื่อย ๆ  หุ้นในช่วงนี้ก็จะเป็นช่วง Decline ซึ่งบางครั้งก็เร็วมาก  แต่บางครั้งก็เกิดขึ้นช้า ๆ  แต่แน่นอน  เป็นหุ้น  “ตะวันตกดิน” 

คนที่เข้าไปซื้อหุ้นลงทุนในช่วงเวลาแบบนี้นั้น  แม้ว่าในบางครั้งอาจจะได้กำไรหรือมีผลตอบแทนบ้างแต่ก็มักจะไม่สูง  บางทีก็อาจจะได้แต่ปันผลราคาหุ้นไม่ไปไหน  แต่ถ้าถือยาวไปเรื่อย ๆ  ก็มักจะพบว่าผลตอบแทนไม่ดีและบ่อยครั้งขาดทุนทั้ง ๆ  ที่ราคาที่ซื้ออาจจะดูว่าถูกมาก  และเนื่องจากว่าหุ้นแบบนี้บางตัวอาจจะเคยเป็นหุ้นเติบโตและมีคุณสมบัติดีเยี่ยม  คนจึงมักจะคิดว่ามันเป็นบริษัทที่ยิ่งใหญ่โดยลืมไปว่านั่นคือ  “อดีต”  ที่ผ่านไปแล้ว  มันไม่สามารถหวนกลับมายิ่งใหญ่ได้อีก

การวิเคราะห์หุ้นโดยอาศัยโมเดล S-Curve นั้น  ผมคิดว่าไม่ได้ยากสำหรับคนที่เรียนเศรษฐศาสตร์มาบ้าง  แต่สำหรับคนทั่วไปโดยเฉพาะที่เป็นนักลงทุนนั้น  การที่จะดูว่าบริษัทอยู่ในช่วงไหนของกราฟน่าจะไม่ง่ายนัก  ผมเองชอบที่จะใช้แนวความคิดที่ง่ายกว่าแต่อธิบายเรื่องเดียวกันได้  และสิ่งที่ผมมักใช้ก็คือคำสามคำที่ว่า  “อดีต  ปัจจุบัน  และอนาคต”  สำหรับเรื่องราวต่าง ๆ  และไม่ใช่เฉพาะแต่ในเรื่องของหุ้นเท่านั้น 

โมเดล อดีต- ปัจจุบัน - อนาคต นั้น  ง่ายมากในแง่ที่ว่า  เวลาที่เราคิดถึงอะไรก็ตาม  เราต้องนึกถึงพัฒนาการของสิ่งนั้นหรือเรื่องนั้นหรือคนนั้นว่า  “อดีต” น่าจะเป็นอย่างไรและนี่คือสิ่งที่เราน่าจะรู้แล้วด้วยการประเมินหรือวิเคราะห์ที่ “ไม่ลำเอียง”  และถ้าเป็นไปได้ต้องมี  “หลักฐาน” โดยเฉพาะ “ตัวเลข” เป็นสิ่งยืนยัน  แต่การวิเคราะห์ด้านคุณภาพก็ยังจำเป็นอยู่และอาจจะสำคัญไม่แพ้กัน   “ปัจจุบัน” นั้นก็คือสิ่งที่เป็นอยู่  นี่ก็เช่นเดียวกัน  ต้องวิเคราะห์อย่าง “ไม่ลำเอียง” และใช้ข้อมูลทั้งทางด้านปริมาณและคุณภาพ  สุดท้ายที่น่าจะสำคัญที่สุดถ้าเราจะประสบความสำเร็จในการทำสิ่งต่าง ๆ  ก็คือ  “อนาคต”  ว่ามันจะเป็นอย่างไร  นี่ก็เช่นกัน  “อย่าลำเอียง” และสิ่งที่จะต้องเพิ่มเติมก็คือ  เราต้องอาศัย  “จินตนาการ” ที่มีเหตุมีผลและถ้าจะให้ดีนำ  “ประวัติศาสตร์”  หรือเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นที่อื่นมาประกอบด้วย  เพราะประวัติศาสตร์นั้น  มีโอกาส “ซ้ำรอย” ไม่น้อย

เวลาผมคิดถึงโมเดล อดีต-ปัจจุบัน-อนาคต  นั้น  ผมจะมองในแง่ของ  “ความก้าวหน้า”  หรือ  ช่วงเวลาขององค์กร  บริษัท  คน  ผลิตภัณฑ์  หรือแม้แต่  “แนวความคิด” ว่า  สิ่งเหล่านั้นเป็นเรื่องที่  ผ่านไปแล้วเป็นอดีตไปแล้ว  หรือกำลังเป็นอยู่และยังคงดำรงอยู่อย่างมั่นคงในปัจจุบัน  หรือสิ่งเหล่านั้นกำลังจะกลายเป็นสิ่งที่เป็นหรือสิ่งที่จะทำหรือสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันไม่ไกลนัก

บางสิ่งบางอย่างที่ยังเป็นอยู่หรือทำอยู่นั้น  ถ้าผมคิดว่าในไม่ช้ามันก็จะค่อย ๆ  หมดไป  ผมก็สรุปว่ามันกำลังจะเป็นอดีต  ตัวอย่างเช่น  คนสูงอายุซึ่งรวมถึงผมและคนไทยอีกจำนวนมหาศาลนั้น  ในไม่ช้าก็จะเป็น “อดีต”  ถ้าเราเห็นว่าพวกเขาคิดอย่างไรหรือทำอะไรอยู่ในขณะนี้  เราก็ต้องยอมรับว่าสิ่งที่พวกเขาคิดและทำซึ่งแตกต่างจากคนรุ่นใหม่นั้น  ในไม่ช้ามันก็จะเป็นอดีต  มันจะไม่ต่อเนื่องไปนานเพราะในไม่ช้าพวกเขาก็จะค่อย ๆ  “จากไป”  ซึ่งตรงกันข้ามกับสิ่งที่คนรุ่นใหม่คิดและทำ  เพราะความคิดและการกระทำแบบนั้นมันจะเป็น “อนาคต” ที่จะมีคนคิดและทำมากขึ้นวิเคราะห์จากจำนวนของคนรุ่นใหม่ที่จะมีเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในอีกหลายสิบปีข้างหน้า 

ด้วยวิธีคิดอิงกับโครงสร้างประชากรของไทยนี้  เราอาจจะนำไปใช้ในการวิเคราะห์สินค้า  การมองหาเมกาเทรนด์  รวมไปถึงการวิเคราะห์ในด้านของการเมืองได้  เช่น  เราสามารถลองตั้งคำถามเล่น ๆ ว่า  พรรคไหนจะเป็นอดีต  พรรคไหนคือปัจจุบัน  และพรรคไหนคืออนาคต เป็นต้น 

 คำว่า  “ปัจจุบัน” นั้น  ผมหมายถึงสิ่งที่จะดำรงอยู่ต่อไปอีกนานพอสมควรและเราอาจจะไม่รู้ว่ามันจะเปลี่ยนไปเมื่อไร  ถ้ากิจการนั้นยังยิ่งใหญ่และเข้มแข็งมาก  ยังไม่เห็นว่าอะไรจะทำลายมันได้รวมถึงเทคโนโลยีสมัยใหม่  เราก็จะสรุปว่ามันเป็น  “กิจการที่ยิ่งใหญ่”  ในปัจจุบัน  เราจะให้คุณค่ากับมันเท่าไรก็เป็นอีกประเด็นหนึ่ง  นี่ก็คือตัวอย่างของการวิเคราะห์ด้วยโมเดลนี้

การมองหาว่าอะไรหรือใครหรือบริษัทไหนจะเป็น  “อนาคต”  นั้น  ผมคิดว่าเป็นเรื่องสำคัญที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จในฐานะของการเป็นนักลงทุนหรือ  “นักเลือก” เพราะการ “เลือกถูก”  นั้นอาจจะทำให้เรารวยได้โดยเฉพาะในการเลือกหลักทรัพย์ลงทุน  อย่างไรก็ตาม  ยังมีการเลือกในชีวิตอีกมากมาย เช่น เลือกวิชาเรียน  เลือกอาชีพ  เลือกคู่ครองและอื่น ๆ  ที่มีผลต่อชีวิตไม่น้อยไปกว่าการลงทุน 

หน้าที่ของเราก็คือ  พยายามเลือกอะไรก็ตามที่จะเป็นอนาคต  เลือกและรักษาปัจจุบันที่ดีเยี่ยมไว้  และหลีกเลี่ยงอะไรก็ตามที่กำลังจะกลายเป็นอดีต  การวิเคราะห์ที่ถูกต้องจะทำให้เราสำเร็จและการวิเคราะห์ที่ผิดพลาดนั้นจะทำให้เราล้มเหลวทั้งในด้านของการลงทุนและชีวิต