เลิก LTF แล้วยังไงต่อ?

เลิก LTF แล้วยังไงต่อ?

มีความกังวลกันว่า หากเลิก LTF จริง เงินจำนวนนี้จะหายออกไปจากตลาดหุ้น

ปี 2562 เป็นปีสุดท้ายของการให้สิทธิลดหย่อนภาษีบุคคลธรรมดา สำหรับการลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว หรือ LTF หลังจากเมื่อสามปีก่อน ได้มีการ 'ต่ออายุ' โดยเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขให้ต้องถือครองยาวขึ้น จาก 5 ปี เป็น 7 ปี มาครั้งหนึ่งแล้ว

ที่ผ่านมา มีความห่วงกังวลกันค่อนข้างมาก ว่าการยกเลิก LTF จะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นอย่างไรบ้าง ทั้งนี้ สภาธุรกิจตลาดทุนไทยได้ระบุตัวเลขเงินลงทุนใน LTF ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 3.9 แสนล้านบาท โดยในแต่ละปีจะมีเม็ดเงินก้อนใหม่เข้ามาลงทุนใน LTF ประมาณ 7-8 หมื่นล้าน

จึงมีความกังวลกันว่า หากเลิก LTF จริง เงินจำนวนนี้จะหายออกไปจากตลาดหุ้น

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับวีไอและคนในแวดวงการลงทุนหลายๆ ท่าน ซึ่งก็ได้รับความคิดเห็นที่แตกต่างหลากหลาย

คนที่เห็นว่า 'ควรเลิก' ส่วนหนึ่งมองในมิติของ 'ความเท่าเทียม' เพราะจากข้อมูลที่พบ กลุ่มคนที่ได้รับสิทธิ์ลดหย่อนภาษีจาก LTF มากที่สุด คือกลุ่มผู้มีรายได้ระดับกลาง-สูง ถึงระดับสูง ในขณะที่ผู้มีรายได้ต่ำ-ปานกลางได้ประโยชน์น้อยกว่ามาก

ด้วยมุมมองดังกล่าว การดำรงอยู่ของ LTF นอกจากจะทำให้รัฐเสียรายได้ ยังไปเพิ่ม 'ความเหลื่อมล้ำ' ให้มากขึ้นไปอีก

รุ่นพี่นักลงทุนคนหนึ่งบอกผมว่า การจะตัดสินใจว่าควรเลิก LTF หรือไม่นั้น ต้องย้อนไปดูที่จุดประสงค์ของมัน LTF เกิดขึ้นก็เพื่อดึงดูดเงินออมของประชาชนให้เข้ามาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ทว่าปัจจุบันตลาดหุ้นไทยมีจำนวนนักลงทุนและเม็ดเงินสูงขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก LTF จึงไม่จำเป็นต้องมีอยู่อีกต่อไป

สำหรับฝ่ายที่เห็นว่า 'ไม่ควรเลิก' บ้างก็บอกว่า ถ้าเลิกแล้วเงินไหลออกมากๆ อาจส่งผลให้กองทุนไทยไม่มีเงินมา 'ยัน' กับ 'ฝรั่ง' จนถูก 'ลาก' ได้ตามใจชอบเหมือนที่เคยเป็นเมื่อสิบกว่าปีก่อน

และบ้างก็แย้งว่า แม้วันนี้จะมีเม็ดเงินเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นเยอะกว่าแต่ก่อน แต่ส่วนใหญ่เป็นพวกเข้าเร็ว-ออกเร็ว ไม่มีคุณภาพ การมี LTF ซึ่งช่วย 'ดึง' เงินไว้ในตลาดอย่างน้อยๆ 5-7 ปี จึงเป็นเรื่องที่ดี

โดยส่วนตัว ผมเห็นด้วยกับการยกเลิก LTF แต่ควรสนับสนุนให้กองทุนบำนาญทุกประเภท สมาคม สหกรณ์ ตลอดจนมูลนิธิและองค์กรการกุศลต่างๆ หันมาลงทุนในหุ้นหรือกองทุนหุ้นให้มากขึ้นเหมือนในต่างประเทศ โดยทำให้เป็นเรื่องถูกต้อง 100 เปอร์เซ็นต์

วิธีนี้จะช่วยดึงเงินก้อนใหม่เข้ามาทดแทนเงินที่หายไปจากการเลิก LTF ซึ่งน่าจะเป็นเงินที่พร้อม 'อยู่ยาว' ทั้งยังเป็นประโยชน์แก่องค์กรผู้ลงทุน เพราะอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยของตลาดหุ้นไทยในระยะยาวสูงกว่าการถือเงินสดไว้เฉยๆ หรือซื้อพันธบัตรหรือตราสารหนี้ความเสี่ยงต่ำค่อนข้างมาก

ขอเพียงขจัด 'มายาคติ' ว่า 'ตลาดหุ้น' เป็น 'สิ่งชั่วร้าย' ออกไปให้ได้เท่านั้น