เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธา เรื่องราวต่างๆ นานาในโลกใบนี้ ล้วนแล้วแต่สะท้อนสัจธรรมของพระไตรลักษณ์
ว่า สิ่งทั้งหลายย่อมเกิดขึ้นและดับสิ้นไป เมื่อเหตุปัจจัยสิ้นไป จึงไม่ควรยึดมั่นถือมั่นในธรรมทั้งหลายว่าเป็นตัวตน “สัพเพ ธัมมา นาลัง อะภินิเวสายะ”
ถ้าเข้าใจเช่นนี้ ก็จะไม่ขัดแย้งกับการ “ยุบหนอ-พองหนอ” เมื่อตั้งมาได้ ก็ต้องยุบได้ เมื่อยุบได้ ก็ตั้งใหม่ได้ .. สาคัญอยู่ที่ สร้างเหตุดี ให้ตรงกับผลที่ดี ศึกษาเงื่อนไขกฎเกณฑ์การเกิดขึ้น-ดารงอยู่-สิ้นไปให้ดี อย่าได้ตั้งอยู่ในความประมาท ขาดสติ ใช้โมหจิตทางานจนลืมบริกรรมยุบหนอ พองหนอ
การเรียนรู้เพื่อนาไปสู่การเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้นที่เรียกว่า พัฒนา หรือ ภาวนา .. นี่เป็นหลักการศึกษาเพื่อชีวิต ด้วยชีวิตเป็นต้นทุนอันสูงสุดเหนืออื่นใด ในฐานะที่เกิดมาเป็นมนุษย์ได้ยากลาบาก สมดังที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ในเรื่องดังกล่าวเป็นบาลีว่า... กิจฺโฉ มนุสฺสปฏิลาโภ กิจฺฉํ มจฺจาน ชีวิตํ .. กิจฺฉ สทฺธมฺมสฺสาน กิจฺโฉ พุทฺธานมุปฺปาโท แปลว่า ความได้อัตภาพเป็นมนุษย์เป็นการยาก , ชีวิตของสัตว์ทั้งหลายเป็นอยู่ยาก , การได้ฟังพระสัทธรรมเป็นการยาก , การอุบัติขึ้นแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นการยาก.. ดังอุปมาที่ทรงยกขึ้นตอกย้าแสดงในเรื่องดังกล่าวว่า “ในท้องทะเลกว้างใหญ่สุดประมาณ มีเต่าตาบอดทั้งสองข้างอยู่ตัวหนึ่ง ทุกๆ หนึ่งร้อยปี เต่าตัวนั้นจะโผล่ขึ้นมาบนผิวน้า ๑ ครั้ง และในท้องทะเลมีห่วงพอดีกับหัวเต่าลอยอยู่อันหนึ่ง โอกาสที่เต่าตาบอดจะโผล่หัวขึ้นมา แล้วเอาหัวสอดเข้าไปในห่วงพอดี มีความยากเพียงใด โอกาสที่จะได้เกิดมาเป็นมนุษย์นั้น มีความยากยิ่งกว่า”
จึงไม่แปลกที่ปราชญ์ทางโลกจะกล่าวว่า “The will to live” คือ เจตจานงในการที่จะมีชีวิตอยู่ของสัตว์ทั้งปวง อันเป็นไปตามคติการรักชีวิตของตนเหนืออื่นใด ดังที่พระพุทธองค์ตรัสว่า “ตรวจดูด้วยใจไปทั่วทุกทิศแล้ว ไม่พบผู้เป็นที่รักยิ่งกว่าตน... เพราะเหตุนั้น ผู้รักตนจึงไม่ควรเบียดเบียนผู้อื่น”
ในพระพุทธศาสนาจึงมีพรหมวิหารธรรมเป็นกรรมฐานบริหารจิต (ชีวิต) ด้วยการเจริญเมตตาให้มีในตน และก้าวขึ้นไปให้ถึง เมตตาสีมสัมเภท (เมตตาไม่มีเขตแดน) แม้ในสัตว์ทั้งหลายเสมอตน และเมื่อต้องเจริญกรุณา-ควบคู่กับเมตตา เพื่อพัฒนาคุณธรรมให้ยิ่งขึ้น ด้วยจิตสงสารในสัตว์ทุกข์ทั้งหลาย ให้ดาริว่า “ขอสัตว์ทั้งหลายจงพ้นทุกข์เถิด” ด้วยจิตที่มีความหวั่นไหวในทุกข์ของผู้อื่นเสมอตน ด้วยความตระหนักว่าเมื่อตนไม่ปรารถนาในทุกข์ จึงไม่ควรนาทุกข์ไปให้ใครๆ แม้ในคนชั่ว สัตว์ร้ายทั้งหลาย ด้วยเข้าใจถึงความทุกข์ร้อนของเขา ยิ่งในสัตว์ที่เสวยทุกข์ แม้ในที่สุดหากจะต้องรับทุกข์
แทนผู้อื่น นั่นเป็นสิ่งที่ประเสริฐสุดของสัตว์จิตพิเศษ เพื่อการบาเพ็ญเพียรสร้างบารมีธรรมอันยิ่ง ดุจดังพระมหาโพธิสัตว์ทั้งหลาย ซึ่งสอดคล้องกับสุภาษิตที่ว่า “พึงสละทรัพย์ เพื่อรักษาอวัยวะ เมื่อต้องรักษาชีวิต พึงสละแม้อวัยวะ แต่หากต้องรักษาประโยชน์แห่งธรรมเพื่อตน พึงสละอวัยะ ทรัพย์ แม้ชีวิตทุกอย่าง”
ดังนั้น ที่สุดแห่งชีวิตคือการรักษาธรรม นี่เป็นคติในพระพุทธศาสนา ซึ่งเมื่อย้อนกลับมาดูกรณี การุณยฆาต (ฆ่าด้วยความกรุณา) ที่ฝรั่งเรียกว่า Mercy Killing อันเป็นประเด็นถกเถียงกันอยู่ว่าควรหรือไม่ ทั้งในเชิงศีลธรรม จริยธรรม และกฎหมายบ้านเมือง จึงมีคาถามเข้ามาว่า พุทธศาสนามีมติในเรื่องดังกล่าวอย่างไร เห็นควรหรือไม่ ซึ่งหากพิจารณาตามหลักธรรมที่กล่าวมาตั้งแต่เบื้องต้น ก็คงจะมีคาตอบที่สรุปลงที่ว่า แม้ที่สุดต้องสละชีวิตเพื่อรักษาธรรมก็ต้องยอม สรุปว่าพระพุทธศาสนายกประโยชน์แห่งธรรมอันเป็นไปเพื่อความสิ้นทุกข์เป็นใหญ่ที่สุด ดังมีพุทธศาสนสุภาษิตที่ว่า... แม้ต้องสละอวัยวะ ทรัพย์ หรือที่สุดคือชีวิต เพื่อรักษาธรรม พึงควรกระทา.. ซึ่งมีตัวอย่างของพระอริยเจ้าปรากฏเป็นเรื่องราวที่ควรศึกษา เมื่อถึงที่สุดต้องรักษาคุณธรรมอันประเสริฐ ไม่ให้เสื่อมถอยจากวิบากขันธ์ที่เป็นอกุศล จึงใช้ศาสตราปลงชีวิตตนเมื่อขณะถึงพร้อมการบรรลุธรรมสูงสุดสาเร็จอรหัตผล ที่เรียกชื่อพระอรหันต์ประเภทดังกล่าวว่า สมสีสี (บุคคลผู้สิ้นอาสวะพร้อมกับสิ้นชีวิต) ดังเช่นกรณี พระวักกลิเถระ พระโคธิกเถระ เป็นต้น ที่ได้กระทาการเชิงการุณยฆาต แต่มีจุดประสงค์เพื่อรักษาคุณธรรมอันสูงสุดไม่ให้เสื่อมถอย ซึ่งพระพุทธองค์ทรงพยากรณ์การละสังขารดังกล่าวว่า เป็นการตายอย่างไม่เลวทราม !!!
เจริญพร