“5 หุ้นเด่น” ที่เกาะติด 5 แนวโน้มเทคโนโลยีโลก

“5 หุ้นเด่น” ที่เกาะติด 5 แนวโน้มเทคโนโลยีโลก

ผมชอบบทความที่มีชื่อว่า “Top 5 Tech Stocks To Match My Top 5 Tech Trends For 2019” ที่เขียนโดยคุณ Matt Bohlsen ที่ปรึกษาการลงทุนชื่อดัง

ผมจึงได้นำเรียบเรียงใหม่ พร้อมทั้งยกตัวอย่างประกอบที่ใกล้ตัวคุณผู้อ่าน เพื่อให้คุณผู้อ่านได้เข้าใจได้ง่ายขึ้น ดังนี้ครับ

หนึ่ง เทคโนโลยี 5G

คุณผู้อ่านหลายท่านทราบดีอยู่แล้วว่า โทรศัพท์มือถือ Samsung Galaxy S10, Huawei P30, และ OnePlus 7 ที่จะออกตามๆกันมาในปีนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นโทรศัพท์มือถือที่จะรองรับเทคโนโลยี 5G ทั้งสิ้น และ 5G จะสามารถทำให้เราดาวน์โหลดหนังความคมชัดระดับ 4K ได้ภายในเพียง 8 วินาทีเท่านั้น ที่สำคัญที่สุด 5G จะเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่จะทำให้อุปกรณ์ต่างๆสามารถเชื่อมโยงกันสื่อสารกันได้ ภายใต้เทคโนโลยี Internet of Things และหุ้นเด่นที่จะมากับแนวโน้มเทคโนโลยี 5G ก็คงจะหนีไม่พ้นหุ้นของบริษัท Qualcomm ซึ่งเรามักจะคุ้ยเคยกับชิปที่ใช้ในโทรศัพท์มือถือที่มีชื่อว่า Snapdragon ชิปตัวนี้แหละเป็นชิปตัวหนึ่งที่มีส่วนแบ่งการตลาดในตลาดโทรศัพท์มือถือมากที่สุดในโลก และในปีหน้า 2020 น่าจะเป็นปีทองอีกปีหนึ่งของหุ้นตัวนี้จากการมาถึงของเทคโนโลยี 5G ( QUALCOMM, Inc. NASDAQ: QCOM 52.99 USD 20190225)

สอง รถขับขี่ด้วยตนเอง (Autonomous Vehicles)

โลกเราในเวลานี้อาจกล่าวได้ว่า รถขับขี่ด้วยตนเองแทบจะสมบูรณ์แบบแล้ว ขาดแต่เพียงการทดสอบรายละเอียดทางด้านความปลอดภัยเท่านั้น ส่วนบริษัทที่มีเทคโนโลยีตัวนี้ก้าวหน้ามากที่สุดก็คือ บริษัท Waymo ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ Alphabet เจ้าของเว็บค้นหาชื่อดัง Google นั่นเอง และดูเหมือนว่าในสงครามเทคโนโลยี “รถขับขี่ด้วยตนเอง” นี้ หากใครเป็นผู้ชนะก็น่าจะได้ส่วนแบ่งการตลาดเกือบทั้งหมด ซึ่งในขณะนี้ Waymo เป็นอันดับที่หนึ่งของเทคโนโลยีด้านนี้ แต่สิ่งที่น่าแปลกใจก็คือ ยังมองไม่เห็นใครจะตามมาเป็นอันดับที่สองเลย นั่นแสดงให้เห็นว่า เทคโนโลยีของ Waymo โดดเด่นมากจนผู้ตาม...ตามกันแทบไม่ทัน ดังนั้นจากนี้ไป หากเทคโนโลยีตัวนี้ได้รับการอนุมัติให้ใช้กับรถทั่วไปแล้ว ความต้องการสินค้าตัวนี้ของ Waymo จะต้องเพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวีคูณอย่างแน่นอน ดังนั้นคุณผู้อ่านท่านใดที่มีหุ้นบริษัทแม่ Alphabet ก็คงจะต้องเป็นคนที่น่าอิจฉาของเพื่อนๆเป็นแน่ ( Alphabet Inc Class A, NASDAQ: GOOGL 1,117.33 USD 20190225)

สาม เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence – AI)

บริษัท Nvidia เคยรุ่งเรืองอย่างก้าวกระโดดในยุคที่เงินสกุลดิจิทัลรุ่งเรือง เนื่องจาก Nvidia มีผลิตภัณฑ์ชื่อดังตัวหนึ่งนั่นคือ การ์ดจอที่มีชื่อว่า Geforce แต่เดิมการ์ดจอใช้ในอุตสาหกรรมเกมคอมพิวเตอร์เท่านั้น แต่พอราคาของเงินสกุลดิจิทัลพุ่งกระโดดเพิ่มขึ้นหลายสิบเท่า ก็ทำให้ผู้คนจำนวนมากซื้อการ์ดจอเพื่อนำมาขุดเงินสกุลดิจิทัลกันอย่างบ้าคลั่ง และกำลังซื้อเพิ่งจะลดลงตามค่าเงินที่ลดลงอย่างมากของเงินสกุลดิจิทัล สินค้าอีกตัวหนึ่งที่กำลังจะมาแรงของ Nvidia ก็คือ ปัญญาประดิษฐ์หรือ AI นั่นเอง ซึ่งจะนำมาใช้ในหลายอุตสาหกรรมที่ต้องใช้คนเป็นจำนวนมาก เช่น คอลเซ็นเตอร์ โรงงานอุตสาหกรรม เป็นต้น จากนั้น AI จะคืบคลานเข้าไปในงานที่คนทำงานซ้ำๆเหมือนเดิมกันมากขึ้น...และมากขึ้น ความต้องการของสินค้าตัวนี้ของ Nvidia จึงจะเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ ( NVIDIA Corporation, NASDAQ: NVDA 158.69 USD)

สี่ Internet of Things (IOT)

ในอนาคตอุปกรณ์อิเลกทรอนิคที่เราใช้กันจะเชื่อมโยงกันเป็นเครือข่าย เช่น เราตั้งค่าต่างๆเหมือนการตั้งนาฬิกาปลุก พอช่วงเย็นเราสตาร์ทรถ โทรศัพท์มือถือของเราก็จะถามว่า จะให้เปิดแอร์ที่บ้านเลยไหม? จากนั้นอีก 15 นาทีจะให้หุงข้าว ซึ่งหม้อหุงข้าวก็จะเชื่อมโยงกับถังข้าวสารและท่อน้ำ ส่งข้าวสารและน้ำเข้ามายังหม้อหุงข้าวตามปริมาณที่ตั้งไว้ พอเรากลับถึงบ้านทุกอย่างก็จะพร้อม และชีวิตก็จะสะดวกสบายมากขึ้น Skyworks เป็นบริษัทที่ทำชิปในโทรศัพท์มือถือ แต่ได้ทุ่มเทเพื่อที่จะคิดค้นทำชิปเพื่อรองรับเทคโนโลยี Internet of Things โดยใช้โทรศัพท์มือถือเป็นตัวควบคุม ประกอบการมาของเทคโนโลยี 5G ซึ่งจะตัวต่อสำคัญที่จะทำให้เทคโนโลยีนี้เชื่อมต่อกันอย่างราบรื่นในระดับความเร็วที่สูงมาก แนวโน้มของหุ้น Skyworks จึงถูกจับจากนักลงทุนที่นิยมหุ้นเทคโนโลยี (Skyworks Solutions Inc, NASDAQ: SWKS 82.39 USD)

ห้า Data Storage and the Cloud

ทุกวันนี้การเก็บข้อมูลได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ จากเดิมที่ต้องต่อเครื่อง Server ที่มีเมโมรีขนาดใหญ่มหาศาล จากนั้นก็ต้องไปหาสร้างฐานข้อมูลสำรองที่อื่นหรือที่เรียกว่า Co-Location เพื่อป้องกันข้อมูลหากเกิดเหตุเพลิงไหม้หรืออื่นๆในสำนักงานที่ตั้งของคอมพิวเตอร์ตัวแม่ ทุกวันนี้หลายต่อหลายบริษัทได้ย้ายข้อมูลของตัวเองทั้งหมดหรือบางส่วนไปไว้อยู่ใน Cloud Storage ซึ่งไม่ต้องเป็นห่วงว่า ข้อมูลของตัวเองจะถูกแฮกหรือหายไปไหนด้วยเหตุผลต่างๆ โดยปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้ให้บริการ Cloud Storage เป็นผู้ดูแลแทน ทั้งประหยัดค่าใช้จ่าย และไม่ต้องจ่ายค่าใช้จ่ายจำนวนมากๆตอนเริ่มต้น ก็ทำให้แนวโน้มตัวนี้มาแรงในปัจจุบันและอนาคต พอเราลองไปดูว่า ในเทคโนโลยีใครเป็นผู้นำ? ก็พบว่าผู้ให้บริการ Cloud Storage รายใหญ่ที่สุดในโลกก็คือ AWS (Amazon Web Storage) นั่นเอง ซึ่งเป็นของบริษัทขายสินค้าออนไลน์รายใหญ่ที่สุดในโลกนั่นคือ Amazon นั่นเอง ในไตรมาส 2 ของปีที่แล้วพบว่า AWS ครองส่วนแบ่งตลาดทั้งโลกสูงถึง 34% ทีเดียว ดังนั้นหุ้น Amazon จึงต้องจับตามองในฐานะของผู้นำในเทคโนโลยีนี้ (Amazon.com, Inc., NASDAQ: AMZN 1,633.00 USD)

หาอ่านบทความ และความรู้ด้านการลงทุนของผู้เขียนได้เพิ่มเติมได้ที่ www.doctorwe.com