เทคโนโลยีกับธุรกิจเอสเอ็มอี

เทคโนโลยีกับธุรกิจเอสเอ็มอี

ในยุคที่มีแต่คนพูดถึงเรื่องของเทคโนโลยี เรื่องของการเป็น 4.0และเรื่องอื่นๆ ที่อาจทำให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี

ต้องหันมามองด้วยความอิจฉา เนื่องจากมีความรู้สึกว่า ธุรกิจในระดับเอสเอ็มอี ไม่มีทางที่จะเอื้อมถึง หรือนำประโยชน์จากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมาใช้เช่นธุรกิจขนาดใหญ่ทั่วๆ ไป

ด้วยข้อจำกัดต่างๆ ของธุรกิจเอสเอ็มอี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการลงทุนสำหรับแสวงหาเทคโนโลยีมาใช้ ทรัพยากรบุคคลที่มีจำนวนน้อยและขาดความรู้ความชำนาญเกี่ยวกับเทคโนโลยีใหม่ๆ รวมถึงความแข็งแกร่งทางการเงินที่อาจไม่เพียงพอต่อระยะเวลาที่ต้องอดทนให้เทคโนโลยีที่ลงทุนไว้งอกเงยออกมาเป็นผลตอบแทนทางธุรกิจให้จับต้องได้ ก่อนที่สายป่านการเงินจะเหือดหายไป

ภาพหลอนต่างๆ ดังกล่าวอาจเป็นส่วนที่ทำให้ธุรกิจเอสเอ็มอีต้องยอมรับกับความสามารถในการแข่งขันที่ลดลงไปอย่างช่วยไม่ได้ แต่หากจะกลับไปมองในอีกด้านหนึ่ง ธุรกิจเอสเอ็มอียังมีจุดแข็งอื่นๆ ที่อาจสร้างความได้เปรียบเมื่อเปรียบเทียบกับธุรกิจขนาดใหญ่ได้ หากเอสเอ็มอีมีความมุ่งมั่นที่จะสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันขึ้นจากจุดแข็งที่เป็นธรรมชาติในตัวของธุรกิจเอสเอ็มอี ซึ่งได้แก่ ความคล่องตัวและความรวดเร็วในการตัดสินใจทางธุรกิจ นั่นเอง!!

แต่จุดแข็งนี้ ต้องใช้ประกอบกับความมุ่งมั่นของเจ้าของธุรกิจเอสเอ็มอี ที่จะแสวงหาความรู้ที่จำเป็นที่จะช่วยพัฒนาธุรกิจของตนเองให้ก้าวต่อไปและแข่งขันได้

ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นความรู้ในระดับลึกถึงพื้นฐาน แต่เป็นความรู้ที่เพียงพอที่จะทำให้มองเห็นและสร้างโอกาสให้แก่ธุรกิจ

เช่น การแสวงหาโอกาสทางธุรกิจจากการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือเทคโนโลยีการเรียนรู้โดยให้เครื่องคอมพิวเตอร์ช่วยคิด

ธุรกิจขนาดใหญ่ที่ต้องการพัฒนานำเทคโนโลยีเหล่านี้มาใช้ ต้องมีการลงทุน สรรหาหรือสร้างบุคคลากร และใช้เวลาในการสร้างระบบขึ้นมาใหม่เพื่อให้มีความเหมาะสมกับธุรกิจ ในขณะที่ธุรกิจเอสเอ็มอี อาจใช้วิธีเข้าร่วมกับแพลตฟอร์มที่ได้รับการพัฒนาขึ้นให้ใช้ได้กับธุรกิจขนาดเล็กโดยทั่วไป ไม่จำเป็นต้องสร้างระบบเฉพาะขึ้นเป็นพิเศษ และมีค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นตามฟังก์ชั่นการใช้งาน และตามจำนวนครั้งที่เกิดการซื้อขายขึ้น หรือชำระเป็นรายเดือนตามกำลังความสามารถของธุรกิจ และได้ใช้ความสามารถด้านปัญญาประดิษฐ์ และความฉลาดของระบบคอมพิวเตอร์ที่จะช่วยในด้านการตลาด ทำให้ธุรกิจเอสเอ็มอีมีโอกาสได้ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงไปในตัวโดยไม่ต้องหาเงินลงทุนเงินก้อนใหญ่ และไม่จำเป็นต้องมีความรู้มากมาย นอกจากจะเห็นโอกาสที่จะมีรายได้จากการขายที่เพิ่มมากขึ้น

วิธีนี้พิสูจน์แล้วว่าสามารถทำให้ธุรกิจเอสเอ็มอีทำการค้าขายไปทั่วโลกได้เช่นเดียวกับธุรกิจข้ามชาติขนาดใหญ่ โดยมีต้นทุนธุรกิจที่ต่ำกว่ามาก เพียงแต่เจ้าของธุรกิจต้องให้ความสนใจและแสวงหาอยู่ตลอดเวลาว่า จะมีเครื่องมือด้านเทคโนโลยีเหล่านี้อยู่ที่ไหน และมีการทำงานอย่างไร เหมาะสมกับลักษณะของธุรกิจที่ทำอยู่หรือไม่

แล้วตัดสินใจเลือกใช้ทันทีที่สรุปได้ว่า คุ้มค่ากับรายได้ที่จะเพิ่มขึ้นได้แน่นอน

อย่างไรก็ตาม เอสเอ็มอีที่ต้องการได้รับประโยชน์จากเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุด จะต้องฝึกฝนตนเองให้เกิดประสาทสัมผัสใหม่ที่จะสามารถรับรู้ได้ถึงประโยชน์ที่จะได้รับจากการใช้เทคโนโลยีนั้นๆ

เช่นเดียวกับเอสเอ็มอีในยุคก่อนหน้าที่มีประสาทสัมผัสพิเศษด้านการตลาด หรือด้านการแสวงหาสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ใหม่มาสร้างตลาดและทำรายได้ตอบแทนแก่ธุรกิจอย่างเป็นกอบเป็นกำ

ในขณะที่ประสาทสัมผัสพิเศษที่เคยใช้อย่างได้ผลมาแล้ว จะไม่ได้ผลในปัจจุบันอีกต่อไปเนื่องจากสภาพแวดล้อมการทำธุรกิจได้เปลี่ยนแปลงไปแทบจะสิ้นเชิง

การแข่งขันในปัจจุบันของธุรกิจเอสเอ็มอี จะขึ้นอยู่กับว่า เจ้าของหรือผู้นำของธุรกิจ จะสามารถสร้างประสาทสัมผัสเกี่ยวกับการนำเทคโนโลยีมาปรับใช้กับธุรกิจของตนได้รวดเร็วแค่ไหน

ด้วยกลยุทธ์และความคล่องตัวในระดับเอสเอ็มอี ที่ธุรกิจขนาดใหญ่ไม่สามารถเลียนแบบได้