กลยุทธ์เข้าเรียนมหาวิทยาลัย

กลยุทธ์เข้าเรียนมหาวิทยาลัย

การจะได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยที่ต้องการทั้งในประเทศและต่างประเทศจำเป็นต้องมีกลยุทธ์ และการจะวางกลยุทธ์ที่เหมาะสมนั้น

ต้องรู้ว่าผู้คัดเลือกเขาทำอย่างไรกัน ผู้เขียนขอเล่าวิธีการหนึ่งในปัจจุบันในการพิจารณารับผู้สมัครเข้าเรียนในต่างประเทศ เรื่องที่เล่าอาจมีแง่คิดสำหรับผู้สมัครและผู้พิจารณารับในบ้านเรา ตลอดจนถึงเรื่องการสมัครงานด้วย

ขอกล่าวถึงมหาวิทยาลัยในต่างประเทศก่อน ปัจจุบันมีผู้สมัครเข้าเรียนในคณะต่างๆ ในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงเป็นจำนวนมากจากทั้งในประเทศและต่างประเทศ เรื่องที่ยากก็คือ จะคัดเลือกหาผู้เหมาะสมได้อย่างไร

หลักเกณฑ์ในการคัดเลือกโดยปกติก็คือ คะแนน Attitude Test (ชื่อบอกว่าเป็นว่าสอบวัดทัศนคติ แต่จริงๆก็คือ สอบ IQ  กลายๆ) คะแนนภาษาอังกฤษ ภาษาต่างประเทศ คณิตศาสตร์ ฯลฯ ตลอดจนวิชาเฉพาะ จดหมายรับรองจากผู้เชื่อถือได้ ประวัติชีวิต(การทำงาน การเสียสละให้สังคม ประสบการณ์ชีวิต) คะแนนตอนเรียนชั้นมัธยมหรือขั้นปริญญาตรี(แล้วแต่กรณี) และประการสำคัญการได้แสดงออกว่า มีความสนใจในมหาวิทยาลัยที่สมัครอย่างแท้จริง(demonstrated interest)

กลยุทธ์ที่สำคัญก็คือ การเตรียมตัวที่จะมีหลักฐานเอกสารแสดง portfolio ที่งดงามและอยู่บนความจริง (ไม่แตกต่างไปจากชีวิตหรอกอยากได้สิ่งดีๆ ในชีวิตก็ต้องเตรียมตัวให้ดี มีพื้นฐานการศึกษาและอุปนิสัยที่ดี หลีกหนีสิ่งที่จะทำให้เสียชื่อเสียงพยายามมี personal capital ที่สูง)

ในต่างประเทศ portfolio ที่ดี มิได้หมายความว่าต้องชนะการแข่งขันอะไรต่างๆ นานา ร้องเพลงเก่ง เล่นดนตรีเก่ง โกนหนวดสิงห์โตได้ ฯลฯ เสมอไป เขาต้องการคนที่มีหลักฐานของการกระทำสิ่งซึ่งแสดงออกถึงการมี human values (คุณค่าของความเป็นมนุษย์ เช่น การมีจิตใจที่ดี มีคุณธรรม มีความรับผิดชอบ มีความสุภาพ น้ำใจนักกีฬา ฯลฯ)

คะแนนต่างๆ ก็เป็นเรื่องสำคัญเพราะ เป็นหลักฐานที่ยืนยันได้อย่างไม่มีความลำเอียง ส่วนเรื่องการตัดสินคุณลักษณะที่เป็นบวกของผู้สมัครดังกล่าวเป็นเรื่องที่ต้องใช้วิจารณญาณและค้นหาความจริงว่าบรรยายไว้เกินความจริงไปมากน้อยเพียงใด

ผู้คัดเลือกต้องการได้ “คนเก่งและดี” เข้าเรียน ต้องมั่นใจว่าเขาเรียนได้จบ อีกทั้งจะเชิดชูโครงการตลอดจนสร้างชื่อเสียงให้มหาวิทยาลัยในเวลาต่อไป การกลั่นกรองจึงทำอย่างจริงจัง อย่างไรก็ดี ปัญหาหนึ่งที่ปวดหัวก็คือ เมื่อรับเข้าเรียนแล้วจะมาเรียนในโครงการจริงหรือไม่ เพราะ คนเก่งและดีนั้นน่าจะสมัครเข้าเรียนหลายมหาวิทยาลัย และน่าจะมีหลายมหาวิทยาลัยที่รับเข้าเรียนด้วย ทุกโครงการต้องการได้สัดส่วนของจำนวนผู้เข้าเรียนจริงกับจำนวนผู้รับเข้าเรียนสูง เพราะเป็นตัวชี้วัดหนึ่งของชื่อเสียงของโครงการของมหาวิทยาลัย ตัวอย่างเช่นรับ 100 คน แต่มาเรียนจริงเพียง 10 คน ก็ไม่น่าจะเป็นโครงการที่น่าเรียนในสายตาของคนทั่วไป เพราะถ้ามันดีคงไม่มีคนปฏิเสธมากขนาดนั้น

ปัจจัยหนึ่งที่จะช่วยชี้ว่า เมื่อรับเข้าเรียนแล้วจะมาเรียนจริงหรือไม่ ก็คือหลักฐานของการแสดงออกของนักศึกษาผู้สมัครว่า มีความสนใจในโครงการนั้นๆ ของมหาวิทยาลัยนจริงจังมากน้อยเพียงใด ถ้ามีการแสดงออกมาว่าสนใจสูงก็จะช่วยชี้ว่ามีโอกาสสูงที่จะมาเรียนจริง

ในสหรัฐ ปัจจุบันจึงมีการพัฒนาซอฟต์แวร์ขึ้นมาเพื่อติดตามตัวผู้สมัครว่ามี demonstrated interest ในมหาวิทยาลัยมากน้อยเพียงใด เช่น อ่านเมล์ที่มหาวิทยาลัยส่งไปหรือไม่ ช้าเร็วเพียงใด เข้าดูเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัยบ่อยเพียงใด อ่านมากน้อยแค่ไหน และเริ่มเข้าชมเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัยครั้งแรก เมื่อกี่ปีมาแล้ว ซอฟต์แวร์ตัวนี้มีชื่อว่า Slate ปัจจุบันใช้อยู่กันกว่า 850 มหาวิทยาลัย

บางมหาวิทยาลัยให้คะแนนรวม สำหรับ demonstrated interest ระหว่าง 1 ถึง 100 โดยรวบรวมมาจากตัวชี้วัด 80 ตัว ซึ่งหลายตัวได้กล่าวถึงแล้ว ตัวอื่นๆ ก็ได้แก่ เปอร์เซ็นต์การเข้าร่วมงานของมหาวิทยาลัยที่เชิญไป บทบาทเกี่ยวกับมหาวิทยาลัยก่อนที่จะสมัครเข้าเรียน การมีจดหมายขอบคุณหลังจากที่ได้รับเชิญไปเยี่ยมชมมหาวิทยาลัยแล้ว ฯลฯ

สำหรับบางมหาวิทยาลัยนั้น ใช้เกณฑ์ demonstrated interest เฉพาะกับนักเรียนที่อยู่ในเขตคาบเส้นของการรับ ว่ากันว่าการเพียงมีจดหมายขอบคุณมหาวิทยาลัยในการเชิญไปชม อาจเป็นตัวตัดสินก็เป็นได้

สำหรับการรับนักศึกษาเข้าเรียนมหาวิทยาลัยของรัฐในประเทศไทย การรับในรอบแรกที่เรียกว่า TCAS 1 (ทั้งหมดมีถึง TCAS5 ซึ่งเป็นการรับรอบท้ายสุดซึ่งเสมือนการรับตามใจชอบของแต่ละมหาวิทยาลัย) นั้นคือการพิจารณา portfolio ว่าตั้งแต่เป็นเด็กจนถึงตอนสมัคร มีประวัติการเรียน การทำกิจกรรมสร้างสรรค์ การชนะรางวัล ฯลฯ เป็นอย่างไร บางคณะของบางมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงก็เข้มงวดที่ขั้นตอน TCAS1 นี้มาก(บางมหาวิทยาลัยก็ปล่อยวางโดยรับกันสนุกสนาน) นักเรียนจำนวนมากที่ตั้งใจเข้าเรียนคณะนั้นอย่างแท้จริง แต่portfolioไม่งามเพราะทำไม่เป็นหรือไม่มีเงินทำให้สวยงามก็หมดโอกาส ผู้เขียนเห็นว่า demonstrated interest น่าจะเป็นตัววัดอีกตัวที่น่าสนใจและสามารถใช้ Slate เป็นตัววัดอย่างละเอียดและเป็นรูปธรรมได้

ผู้เขียนมีประสบการณ์ว่า คนที่อยากเรียนในคณะหนึ่งอย่างมุ่งมั่นตั้งใจจริงแต่แรก มักเรียนได้ดีและไปได้สวยในอนาคตเพราะความมีใจรัก นักเรียนพวกนี้มักอยู่ในกลุ่ม TCAS1 ซึ่ง Slate จะช่วยในเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี

สำหรับการสมัครงาน การติดตามดูผู้สมัครในการเยี่ยมชมเว็บไซต์ขององค์กรและลักษณะอื่นๆ อันเป็นหลักฐานทางออนไลน์ของ demonstrated interest ก็เป็นอีกหนทางหนึ่งในการคัดเลือกคนที่ประสงค์จะเข้าทำงานในองค์กรจริงๆ

พฤติกรรมของคนนั้นเป็นหลักฐานที่สำคัญกว่าคำพูด อย่ามัวฟังหรืออ่าน vision ของผู้สมัครแต่เพียงสถานเดียว ประวัติของพฤติกรรมในอดีตที่ผ่านมาเป็นเครื่องชี้อนาคตที่แม่นยำกว่ามาก