รู้เท่าทันปัญหาโรคติดการพนัน

รู้เท่าทันปัญหาโรคติดการพนัน

การวิจัยพบว่า แม้คนส่วนใหญ่จะเล่นการพนันแบบครั้งคราวเพื่อความบันเทิง แต่มีคนส่วนหนึ่ง ที่เล่นการพนันแบบเสพติด หรือยับยั้งใจไม่ได้

คือเล่นมาก, เล่นบ่อยอย่างต่อเนื่อง เลิกไม่ได้ จนสร้างเป็นปัญหาทั้งทางการเงิน จิตใจ สุขภาพ ปัญหาครอบครัว และปัญหาทางสังคม

คนที่ติดการพนันจนเป็นปัญหาเกิดจากปัจจัยทั้งทางกรรมพันธุ์ จิตวิทยา สภาพแวดล้อมการเลี้ยงดู ประสบการณ์ในชีวิต ที่บางส่วนมีลักษณะคล้ายคนที่เสพติดสารเสพติดอื่นๆ แนวทางการเยียวยาในต่างประเทศ มีทั้งทางจิตวิทยา การแพทย์ และกิจกรรมทางสังคมทั้งโดยหน่วยงานรัฐ โรงพยาบาล คลินิกเอกชน องค์กรประชาสังคม ประเทศพัฒนาอุตสาหกรรมหลายประเทศ

มีคนจำนวนมากพอสมควรที่ชอบเล่นการพนันแบบเป็นครั้งคราว ใช้จ่ายเงินจำนวนไม่มาก เช่น ซื้อล็อตเตอรี่ หวยใต้ดิน หรือไปเล่นสล๊อตมาชีน และการพนันชนิดอื่นๆ ในสถานคาสิโน ฯลฯ โดยมักถือเป็นความบันเทิง เพื่อหาความสุขความตื่นเต้น การลองเสี่ยงโชคดู ฯลฯ หลายประเทศอนุญาตให้มีสถานที่เล่นและการเล่นการพนันบางอย่างถูกกฎหมายได้ เพื่อส่งเสริมธุรกิจและเพื่อที่รัฐบาลจะได้หารายได้เข้าประเทศได้ด้วย

สำหรับคนจำนวนหนึ่ง( 1 - 5 %.ในประเทศตะวันตก และอาจถึง 15%.ในไทย)การเล่นการพนันนำไปสู่การติดเล่นพนันจนเป็นนิสัย เป็นการเสพติดชนิดหนึ่งที่นำไปสู่ปัญหาทางการเงิน การเป็นหนี้สิน กระทบการเรียน/การทำงาน ปัญหาสุขภาพจิต สุขภาพกาย ปัญหาครอบครัว ปัญหาการฉ้อโกง ก่ออาชญากรรม ฯลฯ กลายเป็นปัญหาทางสังคมที่สำคัญ

แม้การให้คำจำกัดความ “คนติดการพนันจนเป็นปัญหา” หรือ โรคติดการพนัน” จะเป็นเรื่องของคนกลุ่มน้อย แต่คนที่ติดปานกลาง มีโอกาสติดมากขึ้นนั้นมีอยู่มาก ถ้านับรวมถึงญาติพี่น้อง เพื่อนที่ทำงาน และโอกาสที่ปัญหานี้สามารถสร้างความเสียหายให้กับชีวิตผู้คนและสังคมได้มาก ก็จะเห็นว่าปัญหานี้มีผลกระทบสูง โดยเฉพาะในหมู่เยาวชน และคนทำงานรุ่นหนุ่มสาวที่มีโอกาสเข้าไปลองเล่นการพนันจะมีโอกาสเสพติดได้มากกว่าวัยอื่น ส่วนหนึ่งเนื่องจากสมองของวัยรุ่นที่บางส่วนยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่ ชอบการตื่นเต้น เสี่ยงภัย ทดลองอะไรใหม่ๆ หุนหันพลันแล่น ขาดความสามารถในการยั้งคิด, ควบคุมอารมณ์อยากของตนเอง ฯลฯ

นักจิตวิทยาพบว่า คนติดการพนันมักมีความเชื่อแบบหลงผิด (Gambling Fallacy) หลายประการ เช่น คิดว่าตัวเองสามารถควบคุมและเอาชนะได้ ตนเองเป็นคนดวงดี มีโอกาสจะมีโชคในการเล่นการพนันบางอย่าง บางคนมองแบบง่าย โดยขาดความเข้าใจเรื่องคณิตศาสตร์ ทฤษฎีความน่าจะเป็น เช่น เชื่อว่าตนเองมีโอกาสชนะหรือแพ้ แบบ 50% ทั้งที่ความจริงแล้ว การพนันหลายอย่าง เช่นการซื้อสลากกินแบ่งของไทย มีโอกาสชนะรางวัลใดรางวัลหนึ่งแค่ราว 1% เท่านั้น คนที่เล่นการพนันบางอย่าง ที่ผลออกมาเฉียดหรือใกล้เคียง (Near Miss) มักจะมองว่าตนเองเกือบชนะแล้ว และพยายามเล่นต่อ ทั้งๆ ที่คือการแพ้ คำว่าเฉียดหรือใกล้เคียงไม่มีความหมายอะไร เพราะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นแบบเป็นการสุ่ม (Random) ที่ไม่มีแผน (Pattern) ที่แน่นอน

แพทย์ด้านประสาทวิทยาและนักจิตวิทยายังพบว่า การเสพติดการพนันมีสาเหตุ ที่มา และทำให้เกิดผลต่อการเปลี่ยนแปลงในสมองของคนผู้นั้น ที่คล้ายกับการเสพติดสารเสพติดอื่นๆ เช่น เหล้า สารเสพติดในบางลักษณะ และได้มีการนำวิธีการเยียวยาสารเสพติดบางอย่างทั้งโดยการแพทย์ จิตวิทยา การช่วยเหลือกับทางสังคม มาประยุกต์ใช้ที่ได้ผลพอสมควรในบางกรณี แต่นักวิชาการส่วนใหญ่เชื่อว่า สาเหตุของการติดการพนันมีหลายปัจจัยร่วมกัน ทั้งชีววิทยา จิตวิทยา สังคม วัฒนธรรม และการมีเป้าหมายที่สูงส่งในชีวิต ที่ต้องช่วยกันวิจัย วิเคราะห์ หาวิธีบำบัดเยียวยาแบบบูรณาการหลายทาง มากกว่าที่จะมองจากทฤษฎี/โมเดลด้านหนึ่งด้านใดโดยเฉพาะ

ประเทศพัฒนาอุตสาหกรรมหลายแห่ง มีการจัดตั้งคณะกรรมาธิการแห่งชาติ และหรือสถาบันแห่งชาติ เพื่อติดตามดูแลเรื่องนี้โดยเฉพาะ เพราะเขาเริ่มตระหนักว่าเรื่องนี้เป็นปัญหาทางเศรษฐกิจสังคมที่สำคัญเรื่องหนึ่งที่เรายังมีความรู้น้อย และการเติบโตของธุรกิจการพนันในโลกทุนนิยมอุตสาหกรรม รวมทั้งการพนันออนไลน์ ซึ่งคนทุกวัยสามารถเล่นได้ทุกทีทุกเวลา โดยรัฐบาลหาทางควบคุมยาก กำลังเติบโต ทำให้ปัญการติดการพนันขยายเป็นปัญหาที่ใหญ่โตที่มีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตผู้คนและสังคมเพิ่มขึ้นได้

ปัญหาโรคติดการพนันนี้สำคัญกว่าการมองในแง่ศีลธรรม กฎหมาย และการป้องกันปราบปรามแบบไทย เพราะถึงในไทยจะมีกฎหมายห้ามและมีบทลงโทษ แต่ถ้ายังปล่อยให้คนไทยคงมีนิสัย มีวัฒนธรรม มีแรงจูงใจที่อยากเล่นการพนัน พวกเขาก็จะแอบเล่นอยู่ดี และเราก็พบว่ามีการลักลอบเล่นการพนันกันมาก มีสถิติการจับกุมปีละหลายหมื่นราย และที่ไม่ถูกจับน่าจะมีมากกว่าหลายสิบเท่า รวมทั้งคนไทยเดินทางไปเล่นการพนันในสถานคาสิโนประเทศเพื่อนบ้านมากด้วย การแอบเล่นอาจจะยิ่งเพิ่มความเสี่ยง ความตื่นเต้นเร้าใจขึ้นด้วยซ้ำ ศูนย์ศึกษาปัญหาการพนัน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รายงานว่าการสำรวจกลุ่มตัวอย่างอายุ 15 ปีขึ้นไปทั่วประเทศ พบว่าในปี 2560 คนไทยเล่นการพนันเพิ่มจาก 2 ปีก่อนหน้านั้น คนเล่นการพนันมีสัดส่วน 54.6% ของกลุ่มตัวอย่างโดยนิยมเล่นหวยรัฐบาล หวยใต้ดิน ไพ่ และทายผลการแข่งฟุตบอลมากตามลำดับ ที่น่าสนใจคือคนเล่นการพนันที่ประเมินว่าตนเองติดการพนัน คือเล่นมาก เล่นบ่อย เลิกไม่ได้ มีปัญหาด้านต่างๆถึง 16.1% ซึ่งเป็นสัดส่วนที่สูงกว่ารายงานของประเทศอื่นๆ

ปัญหาใหญ่อีกข้อหนึ่งคือการแพร่หลายของอินเทอร์ เน็ตผ่านทางสมาร์ทโฟน ทำให้มีการนิยมเล่นการพนันกันได้สะดวก และแพร่หลายเพิ่มขึ้น (เช่น การพนันการแข่งฟุตบอล และอื่นๆ) การวิจัยของศูนย์การศึกษาปัญหาการพนัน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พบว่ามีแนวโน้มที่คนไทยทั้งเด็ก เยาวชน ผู้หญิง คนเกษียณ เล่นการพนันสูงขึ้นในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา จึงเป็นเรื่องที่รัฐบาลควรอุดหนุนการศึกษาวิจัยเพื่อหาทางป้องกันแก้ไขปัญหานี้อย่างเอาจริงเอาจัง

(อ่านเพิ่มเติมได้จาก ศูนย์ศึกษาปัญหาการพนัน จุฬาฯ www.gamblingstudt_th.org)