แหวกม่านแดนภารตะ ส่องตลาดทุนอินเดีย

แหวกม่านแดนภารตะ ส่องตลาดทุนอินเดีย

เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ผู้เขียนได้มีโอกาสเดินทางไปประเทศอินเดีย หากพูดถึงอินเดีย หลายท่าน คงคิดถึงอินเดียในแง่ของการเป็นดินแดนพุทธภูมิ

ซึ่งพุทธศาสนิกชนทุกท่านก็คงอยากจะมีโอกาสไปสังเวชนียสถานสักครั้งเพื่อกราบสักการะสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และน้อมรำลึกถึงพระคุณของพระพุทธองค์ หรืออาจจะคิดถึงทัชมาฮาล หนึ่งในสิ่งมหัสจรรย์ของโลก แต่ในการเดินทางของผู้เขียนครั้งนี้ จุดหมายอยู่ที่กรุงมุมไบ เพื่อศึกษาพัฒนาการด้านตลาดทุนของอินเดียซึ่งมีการเติบโตและมีบทบาทเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในตลาดทุนโลก

จากข้อมูลเศรษฐกิจปี 2017 ประเทศอินเดียมี GDP สูงเป็นอันดับที่ 7 ของโลกและเป็นอันดับที่ 3 ของเอเชีย รองจากประเทศจีนและญี่ปุ่น  ในด้านภูมิศาสตร์ ประเทศอินเดียมีขนาดพื้นที่ประมาณ 3.2 ล้านตารางกิโลเมตร ใหญ่กว่าประเทศไทย 5 เท่า และมีจำนวนประชากรกว่า 1,300 ล้านคน หรือมีประชากรสูงกว่าประชากรไทยถึง 18 เท่า

และนับเป็นประเทศที่มีประชากรสูงเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากประเทศจีน โดยปัจจุบันชาวอินเดียมีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 29 ปี โดยประมาณครึ่งนึงของประชากรมีอายุน้อยกว่า 25 ปี และคาดว่าอินเดียจะมีจำนวนประชากรสูงที่สุดในโลกแซงหน้าประเทศจีนในปี 2024 สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพการเติบโตของอินเดียในอนาคต

มองย้อนกลับมาที่ตลาดทุน ถ้าเทียบตลาดหุ้นอินเดียกับตลาดหุ้นไทยแล้ว อินเดียจัดว่ามีขนาดใหญ่กว่าไทยค่อนข้างมาก จากข้อมูลปี 2017 ตลาดหุ้นอินเดียโดยรวมมีขนาดตลาด (Market Capitalization) ประมาณ 4.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และมีบริษัทจดทะเบียนมากกว่า 3,500 บริษัท ในขณะที่ตลาดทุนไทยมีขนาด Market Capitalization ประมาณ 5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และมีบริษัทจดทะเบียนประมาณ 700 บริษัท

จึงถือได้ว่าตลาดหุ้นอินเดียเป็นตลาดที่มีศักยภาพและสามารถเป็นหนึ่งในช่องทางระดมทุนที่สำคัญของภาคเอกชน นอกจากนี้ อินเดียมีตลาดหุ้นและตลาดอนุพันธ์ที่สำคัญหลายแห่ง ได้แก่ National Stock Exchange of India (NSE), Bombay Stock Exchange (BSE) และ Multi Commodity Exchange of India (MCX)

National Stock Exchange of India (NSE) เป็นตลาดที่มีการซื้อขายทั้งหุ้น ตราสารหนี้ กองทุนรวมETF และอนุพันธ์ทั้งที่อ้างอิงตราสารทุน ตราสารหนี้ อัตราแลกเปลี่ยนและสินค้าโภคภัณฑ์ โดยในส่วนของอนุพันธ์นี้ ในปี 2018 NSE นั้น ถูกจัดอันดับจาก Futures Industry Association (FIA) ในลำดับที่ 2 ของตลาดอนุพันธ์โลก โดยพิจารณาจากจำนวนสัญญาที่มีการซื้อขายในปี 2018 ซึ่ง NSE มีการซื้อขายสูงถึง 3,790 ล้านสัญญา

ในขณะที่ BSE นั้น ก็มีการซื้อขายทั้งหุ้นและอนุพันธ์เช่นกัน หากแต่ BSE ในด้านอนุพันธ์นั้น อยู่ในลำดับที่ 11 ของ FIA World Ranking โดยมีการซื้อขายในปี 2018 ประมาณ 1,032 ล้านสัญญา  ส่วน MCX นั้น เป็นตลาดอนุพันธ์สินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งมีจุดเด่นที่สินค้าประเภทพลังงานและโลหะมีค่าโดยเฉพาะ Gold Futures  โดย MCX อยู่ในลำดับที่ 20 ของ FIA world ranking ด้วยมูลค่าการซื้อขายประมาณ 230 ล้านสัญญาในปี 2018

สำหรับ ดัชนีที่สะท้อนการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นอินเดียนั้น ตลาดหุ้นแต่ละแห่งก็มีการพัฒนาดัชนีของตนขึ้นมา แต่ดัชนีที่เป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมจากชาวต่างชาติก็คือดัชนี Nifty Index Series ของ NSE จนกระทั่งตลาดสิงคโปร์หรือ SGX ซึ่งนิยมนำเอาสินค้าของประเทศอื่นมาจดทะเบียน ได้ออก Nifty50 Index Futures และ Options ซื้อขายในตลาดสิงคโปร์ด้วยเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ด้วยอินเดียยังมีข้อจำกัดด้านกฎเกณฑ์สำหรับผู้ลงทุนต่างชาติ

ดังนั้น การซื้อขายในสิงคโปร์จึงน่าจะมีข้อจำกัดน้อยกว่า ซึ่งในช่วงปี 2016 นั้น การซื้อขาย Nifty Futures ในสิงคโปร์นั้นมากกว่าในอินเดียถึง 1.4 เท่า และจากความนิยมที่เพิ่มขึ้น SGX มีแผนการออก Single Stock Futures หรือหุ้นล่วงหน้าของอินเดียในเดือนกุมภาพันธ์ 2018 แต่ NSE ได้ประกาศไม่ขายข้อมูลราคาให้กับต่างชาติโดยจะมีผลตั้งแต่สิงหาคม 2018 ซึ่งนโยบายดังกล่าวถูกกำหนดขึ้นเพื่อจำกัดไม่ให้ธุรกรรมอนุพันธ์ของอินเดียไปเกิดนอกประเทศมากขึ้น

ทั้งนี้ การดำเนินนโยบายดังกล่าวได้ส่งผลกระทบต่อตลาดสิงคโปร์ที่มีการซื้อขายสินค้าที่ต้องอ้างอิงข้อมูลราคาดังกล่าวอยู่ ดังนั้น จึงเกิดการเจรจากันขึ้น โดยล่าสุดจากข้อมูลของเวปไซต์ Economic Time India คาดกันว่าทั้งสองตลาดจะตกลงกันได้ โดยการซื้อขายใน SGX นั้นจะเป็นไปตามปกติแต่คำสั่งซื้อขายจะถูกส่งต่อไปจับคู่ที่ NSE International Exchange ซึ่งข้อมูลดังกล่าวยังไม่มีการยืนยันจากตลาดทั้งสองแห่ง

จากตัวอย่างและข้อมูลที่ยกขึ้นมาให้เห็น คงทำให้เห็นภาพขนาด และความสำคัญของตลาดอินเดีย ที่เราอาจยังไม่ได้สัมผัสมากนัก แต่อินเดียมีบางอย่างที่คล้ายคลึงกับบ้านเรา โดยเฉพาะในด้านผู้ลงทุนซึ่งเป็นผู้ลงทุนบุคคลในสัดส่วนที่ค่อนข้างสูง หรือในแง่การใช้เทคโนโลยีมาเพื่อการให้บริการในตลาดทุนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น  หรือในแง่สินค้าบางอย่าง เช่น USD Futures เราก็เรียนรู้มาจากอินเดีย

ดังนั้น ข้อมูลและพัฒนาการของอินเดียจึงสามารถที่จะนำเอามาเป็นข้อคิดในการพัฒนาหรือปรับปรุงการดำเนินงานของเราได้ โดยผู้เขียนจะขอนำรายละเอียดมาเล่าในครั้งต่อไป