ก้าวข้ามกับดัก ยุค ‘ดิจิทัล ทรานส์ฟอร์เมชั่น’

ก้าวข้ามกับดัก ยุค ‘ดิจิทัล ทรานส์ฟอร์เมชั่น’

โมเดลธุรกิจที่ตอบโจทย์เป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ

หากพูดถึงความสำคัญของความสมดุลระหว่าง “โมเดลธุรกิจ(Business Model)” และ “นวัตกรรม(Innovation)” ปัจจุบันนวัตกรรมต่างๆ ได้เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของผู้บริโภคจนเรียกได้ว่า ในทุกบริบทของชีวิต 

เราแทบจะหนีไม่พ้นเทคโนโลยีต่างๆ ได้เลย แม้กระทั่งภาครัฐและเอกชนยังต้องเร่งพัฒนาองค์กรเพื่อให้ก้าวทันและสอดคล้องกับยุคที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญและพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว

หน่วยงาน ‘Economic Intelligence Center (EIC)’ ได้กล่าวถึง ยุค “ดิจิทัล ทรานส์ฟอร์เมชั่น” ไว้ว่า หลักสำคัญคือ “การมุ่งเน้นนำดิจิทัลเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็นคลาวด์, บิ๊กดาต้า, อินเทอร์เน็ตออฟธิงส์(ไอโอที), สมาร์ทโฟน, ดีไวซ์, โซเชียลมีเดียและเทคโนโลยีอื่น ๆ มาปรับใช้กับทุกส่วนของธุรกิจ 

ตั้งแต่กระบวนการทำงาน สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ การตลาด วัฒนธรรมองค์กร และการกำหนดเป้าหมายการเติบโตในอนาคต เพื่อให้ธุรกิจปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว ตอบโจทย์ธุรกิจใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นในโลกทุกวันนี้

เมื่อดิจิทัล ทรานส์ฟอร์เมชั่นเข้ามามีบทบาทในโลกธุรกิจ การปรับโมเดลธุรกิจสู่การเป็นองค์กรดิจิทัลให้ทันโลก โดยมุ่งเน้นเทคโนโลยีดิจิทัลเป็นหัวใจหลักจึงกลายเป็นหมากสำคัญในการบริหารธุรกิจโดยปริยาย 

แต่หากเราวิเคราะห์ให้ดี จะเห็นได้ว่าหนทางสู่การเติบโตและความสำเร็จทางธุรกิจอย่างยั่งยืน ที่ความต้องการของผู้บริโภคและเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วนั่นคือ การผสมผสานและการทำให้เกิดสมดุลของการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม และสร้างสรรค์โมเดลธุรกิจที่เติมเต็มช่องว่างของตลาด 

ที่สำคัญคือต้องตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และการใช้งานของผู้บริโภค โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในยุคที่ผู้เล่นรายใหญ่ในตลาดไลฟ์สไตล์แอพพลิเคชั่นได้เปิดให้บริการธุรกิจใหม่ๆ ที่เรียกได้ว่า สามารถเติมเต็มความต้องการผู้ใช้งานได้แบบ 360 องศา

สำหรับการก้าวข้ามกับดักได้เปลี่ยนจาก “ยุคลองของ” สู่ “ยุคทอง” อย่างยั่งยืน ด้วยการสร้างสมดุลระหว่างเทคโนโลยีและโมเดลธุรกิจใหม่ๆ เรื่องนี้ภาควิชาการตลาด คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ให้มุมมองที่น่าสนใจว่า การมองหาว่าอะไรคือเทคโนโลยีดิจิทัลที่ใหม่ที่สุดไม่ใช่กุญแจสำคัญอีกต่อไป เพราะแม้กระทั่งเทคโนโลยีดิจิทัลใหม่ล่าสุด ก็อาจจะถูก ‘Disrupt’ ได้ในที่สุด คำถามเหล่านั้นอาจจะกลายเป็นกับดักทางการธุรกิจมากกว่าด้วยซ้ำ สำหรับหนทางสู่ความสำเร็จ องค์กรต่างๆอาจนำกลยุทธ์ "4O" ที่นำเสนอไว้มาปรับใช้เป็นแนวทางได้ ประกอบด้วย

1.Original Business Model เทคโนโลยีเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจ แต่โมเดลธุรกิจที่ตอบโจทย์ตลาดและกลุ่มผู้ใช้งาน หรือการหาโอกาสทางธุรกิจให้พบก็เป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จเช่นกัน

2.เจาะกลุ่มเป้าหมายแบบ Onlife เข้าไปอยู่ในชีวิตของลูกค้าในการตลาดและการสื่อสารเจาะกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ควรมองข้ามการแบ่งแยกระหว่างแพลตฟอร์มแบบออนไลน์และออฟไลน์ เพราะโลกดิจิทัลและออฟไลน์ถูกรวมเข้าด้วยกันอย่างแยกไม่ออก ดังนั้นหัวใจของการตลาดปัจจุบันคือการทำการตลาดที่รวมเอาทั้งออนไลน์และออฟไลน์เข้าด้วยกันให้อยู่ในการใช้ชีวิตของผู้บริโภค หรือที่เรียกว่า “Onlife”

3.Open Source แบรนด์ต้องเปิดใจกว้าง เนื่องจากผู้บริโภคต้องการอิสระ แบรนด์จึงต้องเปิดใจกว้างด้วยการทำให้บริการและผลิตภัณฑ์ของตัวเองสามารถเชื่อมต่อได้กับทุกแบรนด์และทุกผลิตภัณฑ์ แบบไม่ปิดกั้น เห็นได้จากความร่วมมือทางธุรกิจต่างๆ ในรูปแบบ “Cross Business” เพื่อเป็นการเชื่อมโยง “Ecosystem” ของธุรกิจนั้นๆ เข้าด้วยกัน

4.Organic Brand Story การสร้างเรื่องราวของแบรนด์และผลิตภัณฑ์จะต้องเน้นความ “Organic” หรือ เน้นความจริงใจ เราอาจจะเห็นแนวโน้มของการสื่อสารแบบ ‘tie-in’ น้อยลง และการกลับมาของการสื่อสารแบรนด์แบบชัดเจนที่มากขึ้น 

ตัวอย่างเช่น การสร้างคอนเทนท์แก่ผู้บริโภคที่ดูเกมอีสปอร์ต กลุ่มผู้บริโภคเหล่านี้ไม่เพียงดูเพราะความบันเทิงอย่างเดียวเหมือนการดูรายการอื่นๆ แต่เหมือนกีฬาทั่วไปที่จะมี Game Caster คอยวิเคราะห์การเล่นของผู้เล่นแต่ละคน รวมทั้งในเว็บบอร์ดหรือการพูดคุยถึงกลยุทธ์การแข่งขันต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายในเกม ผู้บริโภคจึงมีความคาดหวังสูงที่จะได้รับประสบการณ์ที่เติมเต็มความต้องการ ซึ่งแบรนด์มีหน้าที่เข้ามาตอบสนองการสร้างประสบการณ์เหล่านี้ สามารถสร้าง Organic Story ที่ไม่ขัดขวางความบันเทิงและเกิดเป็น “Word of Mouth” ให้ได้

สิ่งที่องค์กรและแบรนด์ต่างๆ ควรพิจารณาควบคู่ไปกับการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ คือโมเดลธุรกิจที่ทั้งต้องเติมเต็มช่องว่างของตลาดและตอบโจทย์ผู้ใช้งานยุคปัจจุบัน การผสมผสานและการทำให้เกิดสมดุลระหว่างสองแก่นหลักนี้ ผนวกกับการปรับใช้กลยุทธ์ “4O” จะเป็นอีกหนึ่งหัวใจสำคัญที่ทำให้ธุรกิจในยุคดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่นเปลี่ยนจาก “ยุคลองของ” สู่ “ยุคทอง” พร้อมสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน