หุ่นยนต์และเอไอ

หุ่นยนต์และเอไอ

เอไอจะสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง

แม้ว่าเราจะมีการใช้งานหุ่นยนต์ในโรงงานอุตสาหกรรมมาแล้วหลายทศวรรษ แต่มันก็ยังเป็นเรื่องไกลตัวสำหรับคนส่วนใหญ่ เพราะนอกจากในนิยายวิทยาศาสตร์และในโลกภาพยนตร์แล้วการมาถึงของเทคโนโลยีหุ่นยนต์ภายในบ้านดูจะเป็นเรื่องที่ไม่น่าเป็นไปได้ในระยะเวลาอันใกล้นี้เลย

จวบจนเมื่อวันที่เลโก้ที่ได้หยิบเอาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์มาประยุกต์ใช้กับตัวต่อเลโก้ของตัวเองเมื่อปี 1998 เพื่อให้ลูกค้าหลักคือเด็กๆ ได้สนุกกับการบังคับควบคุมหุ่นยนต์ที่ตัวเองสร้างขึ้นโดยใช้การโปรแกรมแบบง่ายๆ ภาพของหุ่นยนต์รับใช้ในบ้านจึงเริ่มเด่นชัดขึ้น

จนถึงวันนี้เราจึงเริ่มคุ้นเคยกับหุ่นยนต์ในชีวิตประจำวัน เมื่อเห็นภัตตาคารบางแห่งนำเอาหุ่นยนต์มาใช้เสิร์ฟอาหาร โรงพยาบาลก็ใช้หุ่นยนต์ช่วยงานด้านประชาสัมพันธ์ บ้านพักคนชราหลายๆ แห่งก็ใช้หุ่นยนต์เพื่ออำนวยความสะดวกให้เหล่าผู้สูงอายุ และหลายๆ บ้านก็มีหุ่นยนต์อัจฉริยะไว้ใช้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

หุ่นยนต์เหล่านี้อาจไม่ได้ทันสมัยเหมือนที่เห็นในภาพยนตร์ แต่มันก็ฉลาดเพียงพอที่จะจดจำเรื่องต่างๆ แทนเรา เช่นเตือนให้กินยา เตือนนัดหมาย จดจำเรื่องราวต่างๆ แทนเรา เช่นจำได้ว่าเคยไปพบใครที่ไหน เมื่อไร ในขณะที่ตัวเราเองอาจหลงลืมไปแล้ว ไปจนถึงร้องเพลงเต้นรำสร้างความบันเทิงภายในบ้าน

เทคโนโลยีเหล่านี้เคยเป็นของญี่ปุ่นและอเมริกาในยุคบุกเบิก บริษัทของไทยเองก็พยายามพัฒนาขึ้นมาเช่นกัน แต่ทุกวันนี้ไม่มีใครปฏิเสธบทบาทของจีนในการพัฒนาเทคโนโลยีดังกล่าว ซึ่งการเติบโตและขยายตัวของจีน จึงมุ่งทำตลาดไปทุกประเทศทั่วโลก หุ่นยนต์เหล่านี้จึงกำลังถูกพัฒนาให้ใช้ภาษาไทยได้ด้วย

การใช้งานหุ่นยนต์จากโรงงานอุตสาหกรรม ได้ขยายตัวเข้าสู่ส่วนอื่นๆ ในสังคมมากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงวันนี้ จึงมีแนวคิดที่จะนำเอาหุ่นยนต์มาใช้เพื่อการเรียนการสอน เช่นเดียวกันสนามบินและธนาคารหลายๆ แห่งก็จะนำเอาหุ่นยนต์มาใช้ประชาสัมพันธ์ให้ข้อมูลต่างๆ

การเติบโตของเทคโนโลยีหุ่นยนต์อัจฉริยะมีสาเหตุสำคัญประการหนึ่งนั่นก็คือเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ เอไอ ที่ทรงพลังมากขึ้นและมีประสิทธิภาพเพียงพอในราคาที่ถูกลงมากจนสามารถนำมาใช้ในระดับครัวเรือนได้ ซึ่งผลกระทบของเอไอนั้นจะสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง โดยหุ่นยนต์ที่เราเห็นนั้นเป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งเท่านั้น

นักวิเคราะห์หลายๆ สำนักเคยประเมินไว้เอไอจะสร้างธุรกิจใหม่ให้เกิดขึ้นมากกว่า 20 ประเภทมีมูลค่ากว่า 4,000 ล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว และจะขยายตัวเป็น 60,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2025 ซึ่งการสร้างธุรกิจใหม่นี้แน่นอนว่าต้องทับซ้อนกับธุรกิจเดิม จึงอาจทำให้คนจำนวนมากต้องตกงานหากปรับตัวไม่ทัน

ในบ้านเราเองเคยประเมินกันไว้ว่าอาจต้องตกงานจากกระแสการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีมากถึง 12% นั่นคือประชากรราว 5 ล้านคนที่ต้องหางานใหม่เพราะงานเดิมที่เคยทำถูกเทคโนโลยีหุ่นยนต์และเอไอเข้ามาทำหน้าที่ทดแทนได้โดยสมบูรณ์แล้ว

ไม่เว้นแม่แต่ประเทศที่ก้าวหน้าและทันสมัยอย่างสิงคโปร์ ก็คาดว่าต้องมีประชากรราว 5 แสนคนที่ต้องเปลี่ยนงานใหม่หรือไม่ก็ต้องตกงานเพราะสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป ผลกระทบครั้งนี้จึงเกิดขึ้นกับทุกประเทศทั่วโลก ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้ไม่ว่าจะเป็นประเทศร่ำรวยหรือประเทศกำลังพัฒนาอย่างเราก็ตาม

หันมามองที่ประเทศไทยซึ่งในเวลานี้กำลังตื่นตัวกับเต็มที่กับการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง เงินสะพัดที่เกิดขึ้นในช่วงนี้จะส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจในระยะสั้น แต่ในระยะยาวก็ยังมีความไม่แน่นอนแฝงอยู่ การจะอยู่รอดได้ในอนาคตจึงเฝ้ารอความหวังแต่เพียงอย่างเดียวไม่ได้

หากเราเชื่อว่าการเลือกตั้งจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ ตัวเราเองก็ต้องรีบปรับตัวเพื่อรับกับการเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นตั้งแต่วันนี้ เพราะโอกาสกำลังจะมาถึงและนี่อาจเป็นเวลาที่ดีที่สุดของเราเช่นเดียวกัน