โลกที่เป็นหนึ่งเดียว

โลกที่เป็นหนึ่งเดียว

เป็นแนวโน้มที่หนีไม่พ้นไม่ว่าจะชอบหรือไม่ก็ตาม

การเมืองกับเศรษฐกิจถือเป็นระบบนิเวศที่เชื่อมโยงถึงกัน ผลกระทบที่เกิดจากการเมืองจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะสะท้อนให้เห็นเป็นความสำเร็จหรือความล้มเหลวทางธุรกิจ 

เมื่อโลกเชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวกัน ตัวแปรทางการเมืองจึงไม่ได้มีแค่เรื่องการเลือกตั้งหรือเลื่อนการเลือกตั้งในประเทศเท่านั้น แต่การเมืองระหว่างประเทศก็ส่งผลกระทบถึงเศรษฐกิจได้อย่างรุนแรงเช่นกัน โดยเฉพาะภาวะเศรษฐกิจในทุกวันนี้ที่หากถามพ่อค้าแม่ขายในตลาดบ้านเราก็จะได้รับคำตอบคล้ายๆ กันว่าขายไม่ค่อยดี บรรยากาศดูจะไม่คึกคักเท่าที่ควร

หันไปดูประเทศต่างๆ รอบโลกก็ดูจะต้องพบกับสถานการณ์ที่ไม่ต่างกันนักเพราะปี 2561 ที่เพิ่งผ่านพ้นไปนั้นถือได้ว่าเป็นปีที่ยุ่งเหยิงที่สุดปีหนึ่ง เพราะเราต้องพบกับความผันแปรไม่แน่นอนจำนวนมาก โดยเฉพาะเรื่องนโยบายความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของประธานาธิบดีทรัมป์ที่ดูเอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้เลย

เช่นเดียวกับยุโรปที่ความวุ่นวายใหญ่หลวงเกิดขึ้นจากการก่อจราจลในกรุงปารีส เมื่อม็อบเสื้อกั๊กเหลืองประท้วงต่อต้านรัฐบาลครั้งใหญ่สร้างความเสียหายมหาศาล ในขณะที่พี่ใหญ่แห่งยุโรปอย่างเยอรมันนีก็มีอาการไม่ดีนักเพราะการเมืองภายใน

เนื่องจากเยอรมันนีเพิ่งผ่านพ้นการเลือกตั้งท้องถิ่นไปเมื่อปลายปีที่แล้ว ซึ่งความนิยมของนายกรัฐมนตรี อังเกลา แมร์เคิล ตกต่ำลงอย่างมากจนทำให้พรรคคริสเตียน เดโมเครติก ยูเนียนได้รับคะแนนเสียงเพียง 27% ซึ่งถือว่าต่ำที่สุดในรอบ 50 ปีจนแมร์เคิลต้องประกาศวางมือโดยจะไม่ลงสมัครรับเลือกตั้งในครั้งหน้าปี 2564 เป็นที่แน่นอนแล้ว

หันไปดูอังกฤษก็ยังพะวักพะวงกับปัญหา Brexit ที่จัดการได้ไม่ง่ายนัก แต่หนักที่สุดก็เห็นจะเป็นรัฐบาลสหรัฐที่ข้าราชการต้องหยุดการทำงานไปเมื่อปลายปีที่แล้ว เนื่องจากความขัดแย้งของรัฐสภาและทำเนียบขาวที่ไม่สามารถตกลงกันได้ จนการพิจารณางบประมาณที่รวมค่าใช้จ่ายของหน่วยงานต่าง ๆ ต้องหยุดชะงักไปด้วย

ผลก็คือลูกจ้างของรัฐบาลเกือบๆ 1 ใน 4 หรือราว 8 แสนคนที่จะไม่ได้รับเงินเดือนตามปกติ เพียงเพราะความเห็นต่างกันของทำเนียบขาวและรัฐสภาในเรื่องการสร้างกำแพงตลอดแนวพรมแดนสหรัฐฯ กับเม็กซิโกซึ่งเป็นนโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งต้องใช้งบประมาณมหาศาลเกือบ 2 แสนล้านบาท

แนวคิดอเมริกาต้องมาก่อนของทรัมป์นั้นถูกใจประชาชนอเมริกันไม่น้อยจนเขาชนะเลือกตั้งขึ้นมาได้สำเร็จ แต่การทำให้นโยบายนี้เป็นจริงก็ต้องใช้งบประมาณเป็นจำนวนมาก ซึ่งทรัมป์ก็ทำทุกวิถีทางให้แผนงานของเขาเป็นจริงแม้จะต้องชัตดาวน์ ให้ข้าราชการหยุดทำงานก็ตาม

เพราะทั้งหมดนั้นส่งผลกระทบต่อคะแนนเสียงของเขา ซึ่งทรัมป์มีความเสี่ยงที่จะถูกถอดถอนได้ตลอดเวลาการสร้างประเด็นใหม่ๆ ทางการเมือง จึงย่อมเป็นผลดีต่อตัวเขาเอง เราจึงเห็นท่าทีของทรัพป์ที่เอาแน่ไม่ได้และเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาตามสถานการณ์ตลอดเวลา

ทั้งหมดนี้ทำให้ภาพรวมทางเศรษฐกิจโลกที่ประเมินโดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศหรือไอเอ็มเอฟปรับลดอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปีนี้ลง โดยประเทศไทยทางไอเอ็มเอฟประเมินการขยายตัวทางเศรษฐกิจประมาณ 3.9% เท่านั้น ในขณะที่บ้านเราเองประเมินไว้ที่ 4.7%

แนวโน้มดังกล่าวเริ่มสะท้อนให้เห็นแล้วผ่านตลาดหลักทรัพย์ของบ้านเราที่เคยปรับตัวสูงขึ้นมาตลอดในปี 2560 ก่อนจะเริ่มผันผวนและปรับตัวลดลงจนกระทั่งปลายปีที่ผ่านมานั้นได้มาถึงจุดต่ำสุดในรอบ 2 ปี อันเป็นผลมาจากสงครามการค้าสหรัฐฯและจีน และปัจจัยลบอีกหลายๆ ด้าน

ผลกำไรจากตลาดหลักทรัพย์ในรอบ 2 ปีที่ผ่านมาจึงหดหายไปจากการหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ เพราะความคึกคักของตลาดหุ้นจะกระตุ้นให้คนจับจ่ายใช้สอยโดยเฉพาะชนชั้นกลาง ซึ่งผลกระทบดังกล่าวย่อมสะท้อนไปถึงพ่อค้าแม่ขายทั่วไปให้รู้สึกได้

ที่น่าแปลกใจก็คือกราฟความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นบ้านเรานั้นดูจะไม่แตกต่างจากดัชนีตลาดหุ้นในสหรัฐฯ มากนัก เพราะการเติบโตของราคาหุ้นในสหรัฐฯ นั้นถูกประโคมข่าวว่าเป็นผลงานของประธานาธิบดีทรัมป์ เพราะปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องหลังจากทรัมป์ได้รับเลือกตั้ง แต่แล้วในช่วงปลายปีที่ผ่านมาราคาหุ้นหลักของอเมริกาก็ร่วงต่ำลงเป็นประวัติการณ์

คนทำมาค้าขายอาจต้องโอดครวญเพราะภาวะเศรษฐกิจของบ้านเราทำไมจึงต้องถูกผูกอยู่กับประเทศอื่นที่อยู่ไกลแสนไกล แต่นั่นเป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ และเป็นแนวโน้มที่เราหนีไม่พ้นไม่ว่าเราจะชอบมันหรือไม่ก็ตาม