โลกเปลี่ยนไปแล้ว ไทยต้องเปลี่ยนไปตามค่านิยมโลก

โลกเปลี่ยนไปแล้ว ไทยต้องเปลี่ยนไปตามค่านิยมโลก

โลกเปลี่ยนเร็วมากขึ้นกว่าเดิม ตั้งแต่สหัสวรรษใหม่มานี้ จะด้วยการโทรคมนาคมที่สื่อสารว่องไวปานสายฟ้า หรือเทคโนโลยีที่กระจายความคิดและ

ค่านิยมใกล้เคียงกันมากขึ้นก็ตาม ก็ต้องยอมรับว่า แม้แต่ในโลกที่ความเจริญไม่ทัดเทียมกัน บนแผ่นดินที่มีความสุขสงบและสงครามต่างกัน มีลัทธิการปกครองต่างกัน ต่างก็มีกระแสค่านิยมที่ไปในทิศทางเดียวกันมากขึ้น คนไทยก็กำลังปรับตัวไปเช่นนั้น แม้ว่าจะมีหลายฝ่ายที่ยังพยายามดึงดันไม่ให้เป็นไปตามนั้น แต่เชื่อเถอะว่าการฝืนกระแสสากลนิยมนั้นสามารถทำได้แค่ผ่อนสั้น ผ่อนเบา แต่ถ้าพยายามหักด้ามพร้าด้วยเข่า ความเจ็บปวดจะตามมา

ประเด็นแรกที่อยากกล่าวถึงคือ ทุกวันนี้ประเทศทั่วโลกเป็นพหุเชื้อชาติทั้งหมด ไม่มีประเทศไหนเป็นประเทศที่เชื้อชาติไหนมีสิทธิเหนือเชื้อชาติอื่นอีกแล้ว อย่างน้อยก็ในทางพฤตินัย  เหมือนกับที่ยุโรปหรืออเมริกาไม่ใช่ของคนผิวขวานับถือคริสต์อีกต่อไป ยิ่งไปกว่านั้น คนที่ไม่ใช่พลเมืองก็ได้สิทธิในการใช้ชีวิตไม่น้อยหน้าเจ้าของประเทศตามทะเบียน ทำให้นักท่องเที่ยวและผู้มาทำมาหากินรู้สึกปลอดภัย แม้จะมีการเหยียดผิวกันบ้างก็น้อยมาก และทางการเขาจัดการอย่างจริงจัง มีการปรับกฏระเบียบต่างๆ ให้การอยู่อาศัยเป็นไปอย่างไม่อึดอัด มีมนุษยธรรม ความเท่าเทียมและการไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังแม้แต่ชาวต่างชาตินั้น เป็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในทุกทวีป

ไทยเรากำลังอยู่กึ่งกลางของการสงวนสิทธิของคนไทยกับคนที่ไม่ใช่ไทย ในยามนี้ที่คนต่างชาติ ต่างศาสนา เข้ามาทำมาหากินและท่องเที่ยวในเมืองไทยมากล้นเหลือเกิน บางรายกร่างและทำตัวเหนือกฏหมาย ก็มีส่วนให้ชาวไทยบางกลุ่มไม่พอใจคนต่างชาติโดยรวมมากขึ้น โอบตัวเข้าหาแนวทางชาตินิยมมากขึ้น จึงต้องระวังการเลยเถิดไปจนกลายเป็นคลั่งชาติ  ถ้าปราศจากซึ่งแผนการที่เหมาะสมในการรับมือกับ “ผู้มาใหม่” ที่มีวัฒนธรรมต่างกัน หรือรับมือด้วยการตั้งป้อมชิงชังรังเกียจ ความสุขสงบในอนาคตก็เกิดขึ้นได้ยาก เพราะถึงอย่างไร เราก็หลีกเลี่ยงการเข้ามายึดครองของที่เคยเป็นแต่ของเราไปไม่ได้ ที่ผมห่วงคนไทยมากก็เพราะ คนไทยไม่น้อยมีลักษณะที่ออกจะดราม่า ชอบทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ เหยียดคนด้อยกว่า คนพิการ คนผิวคล้ำ คนขี้เหร่ และอื่นๆ ซึ่งโลกเขาเลิกเหยียดกันแล้วแบบนี้

คนไทยยังถูกขัดเกลาตั้งแต่เด็กเรื่องของความไม่เท่าเทียมกันในสังคม ตั้งแต่สรรพนามเรียกขาน ไปจนถึงความชินกับระบบอาวุโสในชีวิตประจำวัน ข้อดีที่ภาคภูมิใจกันคือ การที่ผู้น้อย ผู้ใหญ่ ช่วยเหลือเกื้อกูลกันโดยมิตรจิตอย่างแท้จริง แต่ความเลวร้ายเรื่องของการพึ่งพิงระบบอุปถัมภ์ หรือผู้น้อยยอมให้ผู้ใหญ่ทำชั่วช้าแล้วตนเองนิ่งเงียบนั้น ทำให้สังคมไทยยังคงเป็นแบบนี้ ขณะที่ทั่วโลกเขาทะยานกันขึ้นไป ด้วยการกล้าถกเถียงเพื่อความรู้ใหม่ หรือกล้าลงโทษคนผิดในระดับสูงเพื่อขจัดจุดด่างในสังคมของเขา สังคมไทยยังเป็นสังคมที่จำนนต่อกับคนรวยที่มีอิทธิพล และไม่พ้นความเชื่องมงาย

คุณค่ายึดถือที่เคยเป็นของตะวันตก เช่น ประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน ความเท่าเทียม การรักษาสิ่งแวดล้อม และการหลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรงนั้นไม่ได้กลายเป็นสมบัติที่มีเฉพาะในตะวันตกอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นแนวทางที่ทุกชาติพยายาม ไปให้ถึงเพื่อให้สังคมของตนเองพัฒนา พลเมืองมีความสุข รัฐชาติและระบอบการปกครองจึงจะดำรงอยู่ได้  หากปราศจากเรื่องเหล่านี้ การต่อต้านรัฐที่มาจากประชาชนจะสูง ในอดีตที่คนไม่ต้องแคร์กันมากนัก อำนาจและอาวุธคือความชอบธรรม ผู้เหนือกว่าจะทำอะไรก็ได้ภายในกรอบที่ตนเองมีอำนาจ แต่ทุกวันนี้ โลกเชื่อมต่อถึงกันหมด หากรัฐบาลชาติใดดึงดันที่จะทำสิ่งที่ผิดทำนองคลองธรรมหรือมาตรฐานสากล ก็จะไม่เพียงแค่โดนต่อต้านจากประชาชนตนเองในรูปแบบที่ซับซ้อน ยากต่อการปราบปราม พวกเขาจะถูกแทรกแซงในทุกมิติ ซึ่งกระทบต่อทุกภาคส่วนของชาติอย่างมหาศาล

แม้ว่าโลกจะยังคงมีสงครามและความขัดแย้งถึงเลือด มีการพยายามกระชับอำนาจของฝ่ายผู้ปกครองในบางพื้นที่ให้เป็นไปในเชิงอัตตาธิปไตยมากขึ้น แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าทุกชาติปักธงประชาธิปไตยไว้ในประเทศของตนหมดแล้ว แม้ผู้มีอำนาจบางคนจะหาทางเลี่ยงอย่างไร ก็เพียงแค่ยื้อเวลาเท่านั้น  ประเทศเกือบทั้งหมดเลิกเชื่อแล้วว่าการที่จะบริหารประเทศให้พัฒนา เจริญก้าวหน้า ประชาชนกินดีอยู่ดีนั้นต้องมาจากกลุ่มคนพิเศษที่ไม่ผ่านการเลือกตั้งจากประชาชน เพราะมีตัวอย่างน้อยเหลือเกินที่ระบอบแบบนี้จะประสบความสำเร็จในรอบร้อยปีมานี้  ประเทศกำลังพัฒนาเกือบทั้งหมดสามารถแปรเปลี่ยนตนเองอย่างก้าวกระโดด ผ่านทางการยอมเลือกตั้งแล้วเลือกตั้งอีก พยายามกรองคนไม่ดีออกจากรัฐสภาด้วยวิธีนี้ ด้วยความช่วยเหลือของภาคส่วนต่าง ๆ เช่น การสอดส่องของสื่อ การนับถือตนเองของประชาชน ความซื่อตรงของศาลและองค์กรอิสระ การบังคับใช้กฏหมายอย่างเคร่งครัดของตำรวจ และการอยู่ในกรอบทำตามหน้าที่ของหน่วยงานอื่นของรัฐ ทำให้ได้นักการเมืองที่ดีขึ้นทุกทีทุกทีในการเลือกตั้งแต่ละครั้ง ก็ได้แต่หวังว่าประเทศของเราจะคิดแบบเดียวกันกับสากลโลก