สำเร็จก้าวไกลได้จากก้าวเล็ก ๆ

สำเร็จก้าวไกลได้จากก้าวเล็ก ๆ

เคยสังเกตบ้างหรือไม่ว่า ในงานเฉลิมฉลองต่างๆ ลูกน้องบางคนที่ทำงานไม่เคยเข้าตาลูกพี่ กลับสร้างความสำเร็จนานาประการให้เกิดขึ้น

กับงานเฉลิมฉลองนั้นได้ คนที่ไม่เคยแสดงความสามารถในการแก้ปัญหาในการงาน กลับกลายเป็นนักแก้ปัญหาชั้นดีในงานเฉลิมฉลองเหล่านั้น คนที่แทบไม่เคยเสนอความเห็นใดๆ ในการทำงาน กลับกลายเป็นคนช่างคิดในงานปาร์ตี้ปีใหม่ ที่แย่หน่อยคือ เมื่อกลับไปทำการงานหลังการเฉลิมฉลอง อาการดีๆ ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นการแก้ปัญหาอย่างทันท่วงที การให้ความคิดที่สร้างสรรค์ การมุ่งมั่นให้เกิดความสำเร็จ สาบสูญไปได้อย่างอัศจรรย์ แต่ก็ไม่ได้หายไปจากตัวตนของคนเหล่านั้น เพียงแต่แปรสภาพเป็นพลังงานศักย์ ไม่มีการแปรรูปเป็นพลังงานจลน์เพื่อการทำงาน จะแปรรูปเฉพาะเมื่อมีกิจกรรมเฉลิมฉลองในโอกาสต่างๆ ทำอย่างไรจึงจะดึงพลังงานศักย์ในตัวผู้คนเหล่านั้น มาใช้พลังงานจลน์ในการงานได้

ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่า “ไปทำงาน” หรือ “ไปงานเลี้ยง” ต่างมีคำว่า “งาน” อยู่ ทั้งคู่ “งาน”ในคำว่า “ไปทำงานคือความยากเย็นยาวนานกว่าจะเห็นความสำเร็จ สิ้นปีหรือสิ้นไตรมาศ ถึงจะทราบว่าที่ทนยากเย็นไปนั้น ตนเองได้อะไรมาบ้าง 3-4 เดือนแห่งความยากเย็น เงินเดือนก็เท่าเดิม ในขณะที่ งานในคำว่า ไปงานเลี้ยงฉลองนั้น หากมีความยากเย็นในการจัดงาน 2-3 วัน ก็ทราบผลว่าตนเองได้ความสนุกสนานแค่ไหน เพื่อนฝูงสนุกสนานมากแค่ไหน สำหรับคนบางคนแล้ว ก้าวใหญ่ที่รอนานกว่าจะเห็นผล สู้ก้าวเล็กที่เห็นผลเร็วไม่ได้ ผู้คนจำนวนไม่น้อยจึงดึงศักยภาพที่ตนเองมีอยู่ มาใช้เต็มที่ในการร่วมการฉลองต่าง ๆ เพราะไม่ว่าจะทำไปเพื่อเป็นความสำเร็จของหน้าที่การงาน หรือทำไปเพื่อความสนุกสนานของการเฉลิมฉลองต่าง ๆ ล้วนแต่เป็น “งาน” ในภาษาของเรา ไม่เหมือนภาษาต่างชาติหลายภาษาที่ ทำงานกับ ไปงานแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง คนในบ้านเราจำนวนไม่น้อย จึงเชื่ออย่างฝังลึกว่า “ไปงาน” กับ “ทำงาน” ต่างก็เป็น “งาน” ด้วยกันทั้งคู่ ทำอย่างใดอย่างหนึ่งให้ดีที่สุดก็ได้ และด้วยความเชื่อทำนองนี้ เราจึงเห็นยอดมนุษย์ ใน งานฉลองต่าง ๆ กลายเป็น คนสุดเฉื่อย ในการงาน คือมีพลังกับงานฉลองต่างๆ แต่สิ้นพลังเมื่อเจองานการ

หากจะแก้ความเชื่อฝั่งลึกให้คนใส่ใจ และทุ่มเทกำลังกาย กำลังสติปัญญาให้กับการงาน เท่าๆกับที่ทุ่มเทให้กับงานเฉลิมฉลองต่าง ๆ นั้นคงไม่ง่าย ปากเขาอาจบอกว่าฉันแยกได้ระหว่าง “ทำงาน” กับ “ไปงาน” แต่ถึงคราวเฉลิมฉลองกันทีไร 90% ให้ไปงานฉลอง เหลือ 10% ให้ทำการงานต่อไป เดือนธ.ค. คุยกันเรื่องงานฉลอง มากกว่าเรื่องงานการ หนทางหนึ่งที่อาจดัดแปลงมาใช้ได้คือ ทำให้ก้าวไกลไปสุดทางวิสัยทัศน์นั้น กลายเป็นอนุกรมของก้าวเล็กๆ ที่ความสำเร็จจากก้าวเล็กๆ มีความหมายกับคนทำทุกคน ในทางตรงข้าม ถ้าผู้บริหารเคี่ยวเข็ญ ให้บุคลากรก้าวไกลๆ ระยะก้าวแต่ละก้าวก็ไกลมาก จนถ่างขาไปไม่ไหว ยิ่งเคี่ยวเข็ญมาก ยิ่งหมดแรง หมดใจมากตามไปด้วย “ทำงาน” จึงสู้ “ไปงาน” ไม่ได้ เพราะความสำเร็จที่มีความหมายกับคนทำ นั้นใช้เวลายาวนานกว่ามาก กว่าคนอื่นจะมองเห็นความสำเร็จนี้ก็อีกยาวนาน ในขณะที่ “ไปงาน” เห็นผลแทบทันที

บางท่านก็บอกว่า ฉันมีโรดแมพของฉันอยู่แล้ว ฉันรู้แล้วว่าความสำเร็จแต่ละก้าวของฉันเป็นอย่างไร เหลือแต่การบังคับ และบัญชาให้ทุกคนก้าวเดินไปตามนั้น ขอให้ลองคิดทบทวนอีกนิดหนึ่งว่า ก้าวเล็กๆ ของความสำเร็จแต่ละก้าวนั้น มีความหมายอย่างใดอย่างหนึ่งกับทุกคนหรือไม่ หรือมีความหมายเฉพาะแค่ตัวผู้บริหารเท่านั้น ทุกความสำเร็จจากก้าวเล็กๆ ที่เกิดขึ้น ได้สร้างให้มีความหมายใดบ้างสำหรับคนทำงานนั้น ๆ ต้องทำให้ความสำเร็จระดับแมคโคร กลายเป็น อนุกรมของความสำเร็จในระดับนาโน ที่มีความหมายกับทุกคน ลองถึงถึงความสำเร็จระดับนาโนที่เจอะเจอกันเป็นประจำในเกมส์ออนไลน์ต่างๆ ที่แน่ไม่แน่ไม่รู้ แต่มีผลให้คนติดเกมส์กันเป็นแสนเป็นล้านได้

ถ้าแปลง ก้าวใหญ่ ให้กลายเป็น ก้าวเล็ก ที่มีความหมายกับทุกคนได้ อาจได้เห็นพลังวิเศษ แบบเดียวกับ “งานฉลอง” เกิดขึ้นใน “การงาน” ก็เป็นได้