ปรับพอร์ตรับ December Rally

ปรับพอร์ตรับ December Rally

เข้าสู่เดือนสุดท้ายของปี 2561 กันแล้วนะครับ เวลากำลังจะเดินข้ามไปสู่ศักราชใหม่และวิถีต่างๆ

หนึ่งในวิถีนั้นคือการลงทุน แต่ก่อนที่จะข้ามไปสู่ปีหน้านั้น เรามาดูปัจจัยต่างๆ ในเดือนเดือนธันวาคมนี้กันส่งท้ายกันก่อนว่ามีปัจจัยอะไรที่ส่งผลต่อการลงทุนกันบ้าง

ย้อนกลับไปในช่วง 3เดือน ที่เราได้นำเสนอไปในบทความ ว่าเห็นว่าตลาดหุ้นทั่วโลกรวมทั้งตลาดหุ้นไทยได้รับผลกระทบจากปัจจัยสำคัญหลักๆ 3เรื่อง คือ 1.การขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารสหรัฐฯ (Fed) ที่ปรับขึ้นอย่างต่อเนื่องมา 3ครั้งทำให้เกิดการโยกย้ายเงินลงทุนในโลกโดยเฉพาะตลาดเกิดใหม่และประเทศไทยที่มีเงินไหลออกจากตลาดหุ้นต่อเนื่อง ตามมาด้วยปัจจัยที่ 2.) คือ เรื่องสงครามการของสหรัฐฯกับจีน มีผลมาถึงประเทศอื่นๆด้วย ปัจจัยสุดท้าย 3.) คือ ราคาน้ำมัน เดิมทีคาดการณ์ว่าน่าจะมีทิศทางขาขึ้นไปยืนที่ระดับ 70เหรียญฯ แต่ปรากฎว่าราคาน้ำมัน (WTI) ปรับตัวสวนทางลงไปถึงระดับ 50เหรียญฯ ก่อนที่จะขึ้นมายืนแถวระดับ 60เหรียญฯ จึงเป็นผลลบต่อตลาดหุ้นและหุ้นกลุ่มพลังงานทั้งหลาย

แต่นั้นคือสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงระยะ 2-3เดือนก่อนหน้านี้ เมื่อเรามามองภาวะต่างๆในเดือนธันวาคมนี้อีกครั้ง ต้องขอบอกว่าอาจจะกลับมาเป็นทิศทางบวกต่อตลาดหุ้นทั่วโลกรวมทั้งตลาดหุ้นไทยด้วย และอาจเห็นหุ้นไทยในเดือน ธ.ค. เคลื่อนไหวในทิศทางขาขึ้น (December Rally) เพราะผมมองว่าปัจจัยลบทั้งหลายก่อนหน้านี้ลดแรงกดดันลงไปพอสมควร และส่งผลบวกต่อบรรยากาศการลงทุน โดยประเด็นแรกที่ผมมองว่าจะส่งผลกลับมาเป็นบวก คือ 1.) การที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ Fed มีถ้อยแถลงในเชิงผ่อนคลายต่อเรื่องการขึ้นอัตราดอกเบี้ย หลังจากประธานาธิบดี ทรัมป์ ค่อนข้างไม่เห็นด้วยที่ Fed ที่ดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วเพราะมีผลต่อการลงทุนในประเทศ ทำให้แนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยสหรัฐฯอาจชะลอลง

ประเด็นต่อมา 2. ) ราคาน้ำมันที่รีบาวน์กลับขึ้นมายืนที่ระดับ 60เหรียญฯ ถือว่าเป็นระดับราคาที่ยังมีเสถียรภาพ และส่งผลต่อบวกหุ้นกลุ่มพลังงานของไทย และคาดว่าการประชุม OPEC ครั้งล่าสุดนี้จะส่งผลต่อราคาน้ำมันในเชิงบวก และประเด็นสุดท้ายที่คือ 3.) การพบกันของผู้นำสหรัฐฯ กับจีนในการประชุม G20ล่าสุด ซึ่งทั้งสองประเทศตกลงที่จะให้เวลา 90 วันในการเจรจาทำข้อตกลงการค้ากัน

ทั้งนี้แรงกดดันที่ทำให้การลงทุนทั่วโลกปรับตัวลงประมาณ 20-30%นั้น น่าหมดลงและส่งผลให้ราคาสินทรัพย์เสี่ยงปรับตัวขึ้นมาได้ในช่วงเดือนธันวาคมนี้ครับ ผมจึงประเมินว่าในเดือนนี้ SET Index น่าจะวิ่งไปถึงระดับ 1,700 จุด ได้

ด้วยภาพรวมดังที่กล่าวมา ผมจึงขอแนะนำจัดพอร์ตช่วงสั้นๆ นี้ว่า ให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นเกิดใหม่ โดยเน้นตลาดหุ้นไทยและตลาดหุ้นจีนนะครับ เพราะมองว่าเป็น 2 ตลาดนี้น่าลงทุนด้วยเศรษฐกิจที่เติบโตและราคาหุ้นที่ถูก ประกอบกับการที่เศรษฐกิจโลกที่เติบโต จึงทำให้มีเม็ดเงินกลับเข้ามาลงทุนในตลาดเกิดใหม่ นอกจากนี้ยัง แนะนำเพิ่มสัดส่วนลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในกลุ่มหุ้นเทคโนโลยีด้วย

ขณะที่สินทรัพย์ประเภทตราสารหนี้ระยะสั้น เช่น มันนี่มาร์ตเก็ต แนะนำให้ลดน้ำหนักลงทุนลงและมาถือตราสารหนี้ระยะยาวช่วงอายุ 3-5 ปีมากขึ้น เพราะหาก Fed ชะลอการขึ้นดอกเบี้ยจะเป็นผลดีต่อตราสารหนี้ระยะยาวมากกว่าตราสารหนี้ระยะสั้น ขณะเดียวกันแนะนำถือทองคำและหุ้นน้ำมันในพอร์ตลงทุนด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม มุมมองและคำแนะนำที่ผมให้ไว้ในตอนนี้เป็นทิศทางในช่วงสั้นเท่านั้น ยังไม่ถือว่าเป็นปัจจัยบวกในระยะยาว ซึ่งแนวโน้มในช่วงปี 2562ผมยังมองว่าการลงทุนจะมีความผันผวนรออยู่มาก สถานการณ์ต่างๆอาจพลิกกลับมาเป็นลบต่อตลาดได้ เช่นว่า การเจรจาการค้าอาจล้มเหลวทำให้สหรัฐฯกับจีน เปิดสงครามการค้าใส่กันอีกรอบ หรือ กลุ่ม OPEC มีมติไม่ลดกำลังการผลิตทำให้ราคาน้ำมันดิ่งลงไปอีก หรือแม้แต่ปัจจัยเช่น Fed อาจเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องไปอีกทำให้เกิดความผัวนต่อตลาดหุ้น

ดังนั้นในปี 2562 ตลาดจะเคลื่อนไหวในลักษณะขึ้นเร็วลงเร็ว อาจเรียกได้ว่าเป็น “ปีหมูคลั่ง” ที่นักลงทุนต้องระมัดระวังและเตรียมรับมือด้วยการจัดพอร์ตลงทุนให้ดีและทำความรู้จักผลิตภัณฑ์การลงทุนต่างๆให้มากขึ้น โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่มีโอกาสคุ้มครองเงินต้น โดยในปีหน้าทาง KTBST จะมาแนะนำผลิตภัณฑ์ทางการลงทุนที่น่าสนใจและเหมาะกับภาวะตลาดต่างๆให้กับนักลงทุนได้รูัจักเพื่อเป็นประกอบการตัดสินใจลงทุนครับ

สุดท้าย ผมและบล.KTBST ขอกล่าวอวยพรให้ทุกท่านมีความสุขในปีใหม่ 2562 ที่กำลังจะมาถึง ขอให้ทุกท่านมีสุขภาพ พลานามัยที่แข็งแรง สมปรารภนาในทุกสิ่ง และโชคดีในการลงทุนตลอดปี 2562 ครับ ...