เกมขู่ยุบพรรค

“ขั้ว คสช.” กับ “ขั้วไม่เอาทหาร”

เกม “ขู่ยุบพรรค” ถูกปลุกขึ้นมาจากฝั่งผู้มีอำนาจ ซึ่งจะว่าไปฝั่งพรรคเพื่อไทยและเครือข่ายทักษิณก็เดาทางล่วงหน้าไว้อยู่แล้ว จึงไม่มีชื่อแกนนำระดับ “บิ๊กเนม” เป็นผู้นำและกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทยเลย เพื่อไม่ให้ติดบ่วงเว้นวรรคการเมืองหากพรรคถูกยุบ

ขณะเดียวกันก็เปิด “พรรคตระกูลเพื่อ” ขึ้นมารองรับ ทั้งเพื่อธรรม เพื่อชาติ รวมทั้งล่าสุดคือ “พรรคไทยรักษาชาติ” ที่หวังจะใช้ชื่อย่อ “ทษช.” ให้เชื่อมโยงไปถึง “คนแดนไกล” ยังไม่นับพรรคที่มีเป้าหมายกวาดคะแนนเฉพาะกลุ่ม อย่าง “พรรคอนาคตใหม่” รวมไปถึง “พรรคประชาชาติ”

หลายคนที่เฝ้าติดตามจังหวะก้าวทางการเมืองของ “พรรคตระกูลเพื่อ” จึงมั่นใจว่า “ขั้วไม่เอาทหาร” น่าจะเป็นฝ่ายชนะ และอาจแลนด์สไลด์เกิน 300 เสียงด้วยซ้ำ

แต่การประเมินแบบนี้อาจจะประมาท คสช.เกินไปหน่อย เพราะ “กูรูการเมือง” ประเมินอีกมุมหนึ่งว่า เกม “ขู่ยุบพรรค” ที่ฝั่งผู้มีอำนาจกระพือขึ้นมา จะส่งผลทางการเมืองหลายเด้ง

เด้งแรก พรรคเพื่อไทยคู่แข่งสำคัญ ไม่กล้าตั้งแกนนำระดับเกรดเอขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคและผู้บริหารพรรค ทำให้ภาพลักษณ์พรรคในสนามเลือกตั้งลดความน่าสนใจลง

เด้งที่สอง การตั้งพรรคสาขาหลายๆ พรรค อาจไม่เป็นผลดีในระบบเลือกตั้งแบบ “บัตรเดียว” เพราะทำให้ประชาชนสับสน และคะแนนเสียงสนับสนุนกระจายตัว ไปๆ มาๆ อาจได้จำนวน ส.ส.ลดน้อยลงด้วยซ้ำ แทนที่จะเพิ่มขึ้น

เด้งที่สาม การเสนอชื่อแกนนำเกรดเอในบัญชีพรรคใดพรรคหนึ่งในเครือข่ายเพื่อเป็นนายกรัฐมนตรี ต้องไม่ลืมว่าหากพรรคนั้นถูกยุบหรือมีปัญหาไปก่อนเลือกตั้ง แกนนำรายนั้นก็จะไม่ถูกเสนอชื่อให้โหวตในรัฐสภา

เด้งที่สี่ กระบวนการยุบพรรคด้วยข้อหาที่ต้องยื่นศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ต้องใช้เวลามากพอสมควร ฉะนั้นหากพรรคใดถูกยื่นยุบ แม้จะยังไม่ถูกยุบในทางปฏิบัติ ก็ย่อมส่งผลต่อความเชื่อมั่น อาจทำให้ประชาชนหวั่นเกรงว่าถ้าเลือกพรรคนี้ไปสุดท้ายก็ถูกยุบ การเมืองวุ่นวายอยู่ดี จึงอาจหันไปลงคะแนนให้พรรคอื่น ขั้วอื่น

นี่คือผลที่อาจจะเกิดขึ้นในทางการเมืองจากเกมขู่ยุบพรรคของผู้มีอำนาจในปัจจุบัน ซึ่งแน่นอนว่าความพลิกผันยังเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ และการแก้เกมระหว่างสองขั้วการเมืองที่จะฟาดฟันกันอย่างแท้จริงทั้งในและนอกสนามเลือกตั้ง...ก็จะยังคงมีต่อไป