Silicon Valley หุบเขามนุษย์ทองคำ (จบ)
สถาบันการศึกษาคือปัจจัยสำคัญที่สุดในความสำเร็จของ Silicon Valley การศึกษา คืออาวุธที่รุนแรงที่สุดในการเปลี่ยนแปลงโลก
นอกจากมหาวิทยาลัยที่สำคัญในย่านนั้น ได้แก่ Stanford University ,University of California,Berkeley แล้ว
โรงเรียนเทศบาล (Public Schools) ที่มีคุณภาพในย่าน Silicon Valley ยังเป็นยุทธศาสตร์ที่สำคัญที่สุดในความสำเร็จของ Silicon Valley เมื่อโรงเรียนเทศบาลมีคุณภาพดีผู้ปกครองจะดิ้นรนมาทำงานและเช่าบ้านในบริเวณนั้นเพื่อให้ลูกได้เข้าเรียนในโรงเรียนเทศบาล เมืองหลายเมืองจึงแข่งกันปรับปรุงโรงเรียนเทศบาล เพื่อเป็นจุดขายในการดึงคนเก่งเข้ามาทำงาน ครอบครัวที่อยู่ในวัยทำงาน จึงยอมมาอยู่ในย่านที่แพงแต่โรงเรียนดีและเรียนฟรี มากกว่าอยู่ในย่านถูกแต่โรงเรียนไม่ดี
พ่อของ Steve jobs เป็นชาวซีเรียที่มาเรียนมาหวิทยาลัยในอเมริกา ได้ฝากลูกชายเป็นลูกบุญธรรมไว้กับครอบครัว ในย่าน Silicon Valley รวมถึง Jerry Yang ผู้ก่อตั้ง Yahoo! ก็ผ่านโรงเรียนเทศบาลในย่านนี้ และได้รับรู้แนวคิดใหม่ ๆ จากการสอนและประสบการณ์จากชมรมอิเล็กทรอนิกของโรงเรียน เพื่อสร้างแรงบันดาลใจตั้งแต่ยังเด็ก
ในย่าน Silicon Valley รัฐจะเก็บภาษีบ้านและคอนโดมิเนียมทุกปี ในอัตราปีละประมาณ 1.1-1.6 % โดยภาษีที่ได้ ไม่ได้เข้าส่วนกลางของประเทศแต่จะเป็นรายได้ของเมือง เพื่อสร้างโรงเรียนและห้องสมุดสาธารณะ และสนามกีฬาต่าง ๆ เพื่อดึงคนเก่งเข้ามทำงาน โรงเรียนจึงสามารถดึงคนเก่งเข้ามาเรียน กล้าคิดต่าง และสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ขึ้นมา และนี่คือสิ่งที่โรงเรียน
ในประเทศไทยไม่สามารถทำได้
รัฐบาลไทยได้ไห้ความสำคัญกับนโยบาย Thailand 4.0 และผลักดันโครงการ Silicon Valley Thailand หรือ Digital Park Thailand บนพื้นที่ของการสื่อสารแห่งประเทศไทย จำนวน 621 ไร่ ที่จังหวัดชลบุรี โดยจัดสรรเป็นการดำเนินการของภาครัฐ 30% ภาคเอกชน 70% มีการเชิญบริษัทเอกชนชั้นนำในด้านดิจิทัลของอเมริกา เข้ามาร่วม อาทิ Facebook,Google,Amazon รวมถึงสถาบันวิจัยที่มีชื่อเสียง เช่น Massachusetts Institute of Technology ,China Academy of Sciences ,Tokyo University โดยมุ่งหวังที่จะสร้างเมืองอัจฉริยะ (Smart City) ที่วางผังเมืองอย่างเป็นระบบ มีสภาพแวดล้อมที่ดี เอื้อต่อการคิดค้นสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ส่งเสริมคุณภาพชีวิตของคนในพื้นที่ มีกฎหมายที่ชัดเจนและเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
ประเทศในเอเชียหลายประเทศพยายามผลักดันโครงการ Smart City ในลักษณะเดียวกับ Silicon Valley อาทิ สิงคโปร์ ญี่ปุ่น ไต้หวัน เมือง Daejeon ของเกาหลีใต้ เขตนิคมอุตสาหกรรมเซินเจิ้นในจีน แต่ก็ไม่สามารถสร้างปรากฎการณ์ในระดับเดียวกับ Silicon Valley ได้ เมืองเหล่านี้มีอาคารสูงที่ทันสมัย มีโครงสร้างรถไฟความเร็วสูงที่ทันสมัย มีอินเทอร์เนตความเร็วสูง และกองทุน Start Up ที่พร้อมจะสนับสนุน หลายประเทศมีผู้ก่อตั้งบริษัทเขย่าโลกที่สามารถคิดนอกกรอบแบบ เช่น Hotmail,You Tube หรือ Yahoo
ในขณะที่ประเทศไทยหลายโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมยังอยู่ในระหว่างดำเนินการ ระบบการศึกษาบ้านเรายังล้าหลัง มีแต่ข่าวรุ่นพี่ซ้อมรุ่นน้องในโรงเรียนระดับประถม นักเรียนอนุบาลยังได้รับอาหารกลางวันที่ด้อยคุณภาพจากการทุจริต ครูมีภาระหนี้สินจนต้องประกาศเบี้ยวหนี้ ยังไม่มีการเชื่อมโยงร่วมมือกันระหว่างสถาบันอุดมศึกษากับโครงการ Smart Cityเพื่อผลิตบัณฑิตที่มีคุณภาพให้ตรงกับความต้องการ จุดอ่อนที่สำคัญที่สุดคือจุดอ่อนทางด้านภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นภาษาที่คนส่วนใหญ่ใช้ในการสื่อสาร เป็นภาษาที่เด็กสามารถค้นหาข้อมูลได้ทั่วโลก เป็นจุดเริ่มต้นของความอยากรู้อยากเห็นและการวิจัย
Thailand Silicon Valley ยังเป็นเรื่องที่พูดกันในวงแคบ ตื่นเช้าขึ้นมาสังคมบ้านเรายังพูดกันแต่เรื่องหวย ข่าวเยาวชนถูกข่มขืน นักการเมืองถูกดูด รายการทีวีส่วนใหญ่จะมีแต่รายการ
บันเทิงข่าวดาราแยกทางกัน จนกลายเป็นความเคยชิน คงต้องรอนานหน่อย ที่ Thailand Silicon Valley จะเกิดขึ้นจริง...