ผู้จัดการเก่งๆ ต่างกับ ผู้จัดการที่ไม่เก่ง อย่างไร!?
มีผู้จัดการจำนวนไม่น้อย ที่ไม่รู้หรือมักจะลืมไปว่า.. CEO หรือผู้บริหารระดับสูงที่เป็นเจ้านายสายตรง “คาดหวังในเรื่องใดบ้าง” จากตนเอง!?
ดูได้จากผู้จัดการที่ไม่เก่งเหล่านี้ แต่ละวันจะ "วุ่นวาย” ใช้เวลาหมดไปกับการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปวันๆ
เอาตัวรอดไปได้ไปวันๆ โดยที่ไม่มีเวลา “คิด วิเคราะห์ วางแผนและพัฒนาในเรื่องงาน โดยเฉพาะในเรื่องการพัฒนาทีมงาน!”
ผู้จัดการที่ไม่เก่ง มักจะหน้าดำคร่ำเครียดตลอดทั้งวัน หงุดหงิดง่าย บ่น ด่าเป็นระยะกับปัญหาที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะปัญหาที่ลูกน้องสร้างขึ้นมาให้แก้แบบตั้งใจและไม่ตั้งใจ (ก็ลูกน้องไม่ได้รับการพัฒนา ไม่ได้ถูก บ่มเพาะหล่อหลอม ให้เก่งและแกร่งโดยการ Coaching จากผู้จัดการ.. แล้วจะไปโทษใครล่ะครับ?)
ผู้จัดการที่เก่ง จะชัดเจนว่า CEO และผู้บริหารระดับสูงที่เป็นเจ้านายสายตรง คาดหวังอะไร ทีมงานคาดหวังอะไร จะต้องคิด ต้องทำเรื่องอะไร แยกแยะได้ชัดเจนว่า “งานหลักที่สร้างคุณค่า” มีเรื่องอะไรบ้าง ต้องทำเรื่องใดก่อนหรือหลัง
ผู้จัดการที่ไม่เก่ง ต่อให้มีมือรองที่เป็นตำแหน่งผู้ช่วย แต่มีก็เหมือนไม่มี เพราะนอกจากจะช่วยอะไรไม่ได้แล้ว
ยังขยันช่วยสร้างปัญหาให้เป็นระยะมากกว่า เพราะเป็นมือรองที่ขาดความสามารถ ผู้จัดการที่ไม่เก่ง ก็เลยต้องเอางานของมือรองที่เป็นผู้ช่วยมาทำซะเอง (ตกลงใครเป็นมือรองใครกันแน่ครับ!?)
ส่วนผู้จัดการที่เก่ง จะไม่ได้มองแค่มือรองที่เป็นผู้ช่วยโดยตำแหน่งเท่านั้น แต่มองว่าทีมงานทุกคน สามารถเป็นมือรองได้ ไม่เรื่องใดก็เรื่องหนึ่งหรือหลายเรื่องในบางคน
ส่วนมือรองโดยตำแหน่ง จะได้รับการ Coaching อย่างเข้มข้น เพื่อให้เป็นมือรองให้เก่งทั้ง ช่วยคิด ช่วยทำและทำแทนได้ในหลายๆเรื่อง
ผู้จัดการที่เก่ง จะแยกแยะได้ชัดเจนว่าทีมงานที่มี ใครที่อยู่ Level A ใครที่อยู่ Level B ใครที่อยู่ Level C และจะพัฒนา ยกระดับ หรือต่อยอดแต่ละ Level อย่างไร.. โดยจะไม่ปล่อยให้มีพนักงาน Level D ที่ทัศนคติลบ สร้างแต่ปัญหา ไม่เคยสร้างผลงาน อยู่ในทีม!
ส่วนผู้จัดการที่ไม่เก่งน่ะเหรอครับ... ในทีมจะอุดมไปด้วย พนักงาน Level C กับ Level D เป็นส่วนมาก ที่เป็นพนักงานที่เฉื่อยชา ปราศจากวินัย สร้างปัญหา ส่วนพนักงาน Level B นับหัวได้น้อยมาก ไม่ต้องพูดถึงพนักงาน Level A ที่ฉลาดพอที่จะไม่ทนเป็นลูกน้องผู้จัดการประเภทนี้...เพราะอยู่ไปก็ไม่มีอนาคต!
เมื่อผู้จัดการที่ไม่เก่ง มีแต่ลูกน้องที่สร้างปัญหา สร้างภาระเป็นส่วนมาก เวลาแต่ละวันจึงหมดไปกับการตามแก้ปัญหาไม่เว้นแต่ละวันนั่นเอง
ส่วนผู้จัดการที่เก่งๆ จะสอนให้ลูกน้องแก้ปัญหาด้วยตนเองได้ พัฒนาให้หาวิธีป้องกันปัญหา และเนื่องจากทีมงานของผู้จัดการที่เก่งๆ จะไม่มีพนักงาน Level D ให้เป็นภาระ ส่วนพนักงาน Level C ที่พอจะพัฒนาได้ก็เก็บเอาไว้ แล้วขับเคลื่อนทีมให้สร้างผลงานด้วยมือรองหลายๆคน ควบคู่ไปกับพนักงาน Level A กับ Level B งานหลักของผู้จัดการที่เก่งๆ จึงมุ่งเน้นไปที่พัฒนาทีมงาน
ผู้จัดการที่ไม่เก่ง จะคิดและมอง “เห็นแต่ปัญหา” ในทุกๆวัน แล้วก็นั่งพร่ำบ่นแต่ปัญหาได้แทบทั้งวัน โดยไม่เคยมอง “ทางออกและวิธีแก้ปัญหา”
ลูกน้องจึงมองเห็นผู้จัดการเอาแต่พร่ำบ่น บรรยากาศของทีมจึงตลบอบอวลไปด้วย “กลิ่นคลุ้งของปัญหา” ไม่มีใครอยากเข้าพบหน้ามีแต่คนอยากหลบหน้าผู้จัดการ!
ส่วนผู้จัดการที่เก่งๆ จะเข้าใจ “ธรรมชาติของงานว่าทุกงานทุกที่ต่างก็มีปัญหาไม่มากก็น้อย” และใช้ปัญหาที่พบเป็นเครื่องมือขัดเกลาฝีมือของตนเองและทีมงาน เพราะรู้อย่างชัดเจนว่า บริษัทจ้างมาให้แก้ปัญหา / ป้องกันปัญหาไม่ให้เกิดขึ้นอีก และพัฒนาหน่วยงานทีมงาน ไม่ใช่จ้างมาให้นั่งบ่นแต่ปัญหา
ความแตกต่างของผู้จัดการที่ไม่เก่ง กับ ผู้จัดการที่เก่งๆ จึงอยู่ที่“วิธีคิด” เป็นจุดเริ่มต้น...ถ้าคิดเป็น ก็จะรู้ว่าเรื่องใดที่คิดแล้ว นำไปสู่ความล้มเหลวของตนเองและทีมงาน เรื่องใด ที่คิดแล้ว ลงมือบริหารจัดการ จะนำทีมงานไปสู่ความสำเร็จ
ปัญหาที่น่าเป็นห่วงที่สุดของผู้จัดการที่ไม่เก่ง ก็คือ “มักจะไม่รู้ตัวว่า ตนเองเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้หรือปล่อยให้ทีมงานสร้างปัญหามาอย่างต่อเนื่อง!” โดยไม่คิดจะปรับเปลี่ยนเรียนรู้เพื่อพัฒนาตนเอง
ส่วนผู้จัดการที่เก่งๆ ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง เพราะส่วนมากผู้จัดการประเภทนี้ จะชอบเรียนรู้ พัฒนาตนเอง ควบคู่ไปกับให้ทีมงานได้เรียนรู้และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
บริษัทใด..มีผู้จัดการที่ไม่เก่งจำนวนมาก ก็ยากที่บริษัทนั้นจะก้าวไปข้างหน้าได้อย่างรวดเร็ว แค่ทรงๆไม่ทรุดก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว!
เมื่อท่านมองเห็นความต่างของผู้จัดการที่ไม่เก่ง กับผู้จัดการที่เก่งๆ ก็ขึ้นอยู่กับท่านในฐานะผู้บริหารระดับสูงหรือ CEO ว่าจะทำอย่างไรกับผู้จัดการที่ท่านมี!?