จุดยืนของชีวิตและการลงทุน

จุดยืนของชีวิตและการลงทุน

ตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ผมมีนิสัยที่ติดตัวมาตลอดอย่างน้อย 5-6 อย่างที่อาจจะเกี่ยวข้องกัน

นิสัยส่วนใหญ่น่าจะติดมาจากแม่ซึ่งคอยเคี่ยวเข็ญตลอดเวลาให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้  และถ้าเรายังไม่ทำเขาก็จะไม่หยุดพูด  จานชามหลังจากกินข้าวเสร็จแล้วจะถูกสั่งให้ล้าง “ทันที” ไม่มีการปล่อยทิ้งไว้  เวลาที่เขาปลุกให้ตื่นเพื่อไปโรงเรียนหรือแม้แต่วันหยุดที่ไม่มีภารกิจอะไรเราก็ต้องตื่น  การนอนตื่นสายไม่อยู่ในหลักปฏิบัติของบ้าน 

นอกจากนั้น  ค่าที่ว่าฐานะทางบ้านยากจน  ความประหยัดมัธยัสถ์ใช้แต่ของที่จำเป็นก็เป็น “เสาหลัก” อีกอย่างหนึ่งที่หล่อหลอมนิสัยหลายอย่างของผม  ในสมัยที่ยังเป็นเด็กนั้น  ข้าวแม้แต่เม็ดเดียวก็ต้องไม่เหลือติดชามไม่ต้องพูดถึงการกินอาหารเหลือทิ้งเหลือขว้าง  สิ่งต่าง ๆ  เหล่านั้นน่าจะเป็น  “ต้นตอ”  ของนิสัยต่าง ๆ  ของผมที่ยืนยาวต่อเนื่องมานานจนเป็นผู้ใหญ่  แน่นอน  เรื่องความประหยัดแม้แต่การกินอาหารนั้นหมดไปนานแล้ว  แต่นิสัยหลายอย่างก็ยังติดตัวมาจนถึงทุกวันนี้

 นิสัยที่ผมคิดว่าติดตัวมาก ๆ  และจะหงุดหงิดถ้าพบว่าคนใกล้ตัวหรือคนอื่นที่ผมเกี่ยวข้องไม่ทำน่าจะรวมถึงเรื่องหรือประเด็นต่าง ๆ  ดังต่อไปนี้

การ “ทำทันที”  โดยเฉพาะเมื่อดูแล้วไม่มีประเด็นที่ทำให้เราต้องรอ  ถ้าเราคิดอย่างรอบคอบแล้วว่านั่นคือสิ่งที่ควรทำ  เช่น  ถ้าเรามั่นใจว่าการลงทุนในตลาดหุ้นในเวลานั้นเป็นสิ่งที่ดีต่ออนาคตทางการเงินระยะยาวของเรา  เราก็จะต้อง  “ทำทันที”  การ “ผัดวันประกันพรุ่ง” ไม่ใช่วิถีของผมเลย 

ผมยังจำได้ว่าวันที่ผมตัดสินใจเรียนต่อในระดับปริญญาโทและรวมถึงปริญญาเอกนั้น  เมื่อผมรู้ว่าผมมี “โอกาสทำได้” แม้ว่าจะมีโอกาสผิดพลาด  ผมก็ตัดสินใจแทบจะ “ทันที”  อย่างไรก็ตาม  การเรียนต่อนั้นจริง ๆ  ก็อยู่ในใจผมก่อนแล้ว  แต่ผมอาจจะแค่เคยคิดแบบกว้าง ๆ  โดยไม่มีรายละเอียดหรือแผนการอะไรที่ชัดเจน  ตอนที่ตัดสินใจผมแค่ดูว่ามันเป็นสิ่งที่ดีและทำได้โดยที่ความเสี่ยงนั้นมีน้อย  ว่าที่จริงผมแทบจะไม่มีต้นทุนถ้าทำแล้วไม่สำเร็จ  เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  ผม “แทบไม่มีอะไรจะเสีย”

 นิสัยข้อต่อมาน่าจะเป็นเรื่องของความชอบ “ความมีประสิทธิภาพสูง”  ผมชอบและมักจะหาวิธีทำสิ่งต่าง ๆ  ให้เร็วและมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูง  การใช้ชีวิตประจำวันอย่างการเดินทางด้วยรถยนต์ในช่วงเวลาที่รถติดหนักนั้นผมมักจะพยายามเลี่ยง  ถ้าสามารถใช้รถไฟฟ้าที่แล่นบนรางผมจะไม่รีรอที่จะใช้เลย  นอกจากนั้น  ถ้าผมต้องไปเข้าคิวรอรับบริการที่มีการปฏิบัติอย่างไม่มีประสิทธิภาพ  ผมก็จะรู้สึกหงุดหงิด  และนี่น่าจะทำให้ผมไม่อยากลงทุนกับบริษัทที่มีการปฏิบัติงานที่ดูไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควรไปด้วย

 นิสัยที่น่าจะค่อย ๆ  พัฒนาขึ้นเมื่อผมมีอายุมากขึ้นที่สำคัญมากที่สุดอย่างหนึ่งก็คือ  “การหาจุดยืนที่ปลอดภัย”  ในทุกเรื่องที่ทำ ย้อนหลังไปเมื่อสมัยที่ผมยังเป็นเด็กและอาศัยอยู่ในสลัมของกรุงเทพนั้น ผมใช้ชีวิตที่  “เสี่ยงมาก”  หลายอย่างโดยไม่รู้ตัว  อาจจะเนื่องมาจากสภาวะแวดล้อมที่ย่ำแย่และความเป็นเด็กที่อยากรู้อยากเห็นแต่ไม่มีใครบอกหรือสอน

ตัวอย่างเช่น ผมยังจำได้ว่าตนเองชอบไปเที่ยวเก็บสายไฟฟ้าเก่าเพื่อเผาเอาทองแดงไปขายซึ่งเป็นเรื่องที่ทำเป็นปกติ วันหนึ่งก็ไปพบห้องแถวที่เป็นตึกสร้างไม่เสร็จและถูกทิ้งร้างโดยมีสายไฟฟ้าห้อยลงมาจากเพดาน เพื่อที่จะพิสูจน์ว่ามันไม่มีไฟ ผมก็เอาลวดไปแหย่ ปรากฏว่าผมถูกไฟดูด โชคดีที่ในสมัยนั้นยังเป็นไฟฟ้าระบบ 110 โวลท์  ทำให้ผมเพียงแค่กล้ามเนื้อกระตุก  แต่ถ้าวันนั้นผมถูกไฟดูดและเส้นลวดที่ใช้แหย่ไม่หลุดออกมา ผมก็อาจจะตายได้

การหาจุดยืนที่ปลอดภัยนั้น หมายความว่าทุกครั้งที่ผมจะทำอะไร ผมก็จะไตร่ตรองดูอย่างรอบด้านว่า ถ้าเกิดอะไรขึ้นในทางที่เลวร้ายมาก มันจะกระทบกับผมแค่ไหน เปรียบไปก็เหมือนกับการปลูกบ้านอยู่ริมเขา ผมก็อาจจะต้องวิเคราะห์ว่าถ้าวันหนึ่งเกิด “ดินถล่ม” แม้ว่าสิ่งนั้นจะไม่เคยเกิดขึ้นเลย ผมก็อาจจะตายได้แม้ว่าโอกาสเกิดอาจจะน้อย ตรงกันข้าม ถ้าสิ่งที่ทำนั้นโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนที่ดีมีสูงแต่โอกาสผิดพลาดนั้นอาจจะพอสมควร แต่เมื่อพลาดก็ไม่ทำให้เราตายหรือลำบาก แบบนี้ผมก็อาจจะทำหรือเข้าไปอยู่ในตำแหน่งนั้น

 ผมคิดว่าการที่เราอยู่ในจุดยืนหรือตำแหน่งที่ไม่เหมาะสมนั้น เมื่อเกิดอันตรายขึ้น การที่ต้องเข้าไปแก้ไขปัญหาเป็นเรื่องที่ยากลำบากมากกว่าการที่เราจะป้องกันไว้ก่อนโดยการหาจุดยืนหรือตำแหน่งที่เหมาะสม ตัวอย่างเช่น ถ้าเราลงทุนในหุ้นเก็งกำไรที่ไม่แข็งแกร่งและเกิดวิกฤติบางอย่างที่ทำให้หุ้นตกลงมามากจนทำให้เราขาดทุนหนักแทบจะเป็น “หายนะ” นั้น  การแก้ไขบางทีก็เป็นไปไม่ได้  และไม่ต้องไปถาม  “เซียน”  ว่าจะทำอย่างไร  เพราะ “เซียนตัวจริง”  นั้น  มักจะรู้แต่ว่าจะทำอย่างไรที่จะไม่นำไปสู่ความหายนะ  หรือแม้ว่าหุ้นหรือมูลค่าพอร์ตจะตกลงมาก  มันก็มักจะสามารถฟื้นขึ้นได้เมื่อเวลาผ่านไป  การแก้ไขถ้าจำเป็นก็ง่ายกว่า  พูดถึงเรื่องนี้ทำให้ผมนึกถึงคำพูดของชาลี มังเกอร์ที่บอกว่า  “สิ่งที่ผมอยากจะรู้ก็คือผมจะตายที่ไหน  เพื่อที่ว่าผมจะได้ไม่ไปที่นั่น”

ผมเองผ่านสถานการณ์ที่ผิดพลาดเสียหายมาไม่น้อย เคยทำธุรกิจเล็ก ๆ  หลายอย่างที่ล้มเหลวแต่ก็ไม่ได้กระทบการเงินส่วนตัวอะไรมากเพราะผมรู้ตัวว่าผมควรจะทำในระดับไหนและถ้าธุรกิจล้มเหลวจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง  ในด้านของการเป็นผู้บริหารในบริษัทมหาชนขนาดใหญ่หลายแห่งและบริษัทประสบกับปัญหาล้มเหลวทางธุรกิจ  ผมก็เอาตัวรอดมาได้  ส่วนหนึ่งก็เพราะทุกครั้งก็พยายาม “วางตัวเอง” ให้อยู่ในตำแหน่งที่ “ปลอดภัย” ถ้าเกิดอะไรที่เลวร้ายขึ้นกับบริษัทมันจะต้องไม่กระทบมาถึงตัวเองอย่างรุนแรงจนเป็นหายนะ    ผมมีคติว่า “บริษัทนั้นอาจจะตายได้  แต่เราต้องไม่ตาย”

จุดยืนอีกอย่างหนึ่งและมันเป็นนิสัยของผมที่ก่อตัวมาตั้งแต่เด็กและก็มาจากแม่เช่นเดียวกันก็คือ  ความซื่อสัตย์และความรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตนเอง  และนี่น่าจะเป็น “เกราะ”  ป้องกันตัวเองจากอันตรายหลาย ๆ  อย่าง  ที่กล่าวข้างต้น  การทำงานในบริษัทมหาชนนั้น ถ้าเราไม่สุจริต เราอาจจะได้รับผลตอบแทนที่ดี แต่นั่นทำให้เราอยู่ในตำแหน่งหรือจุดยืนที่อันตราย เป็นไปได้ว่าวันหนึ่งโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อบริษัทประสบปัญหา เรื่องราวต่าง ๆ ก็จะถูกขุดคุ้ย และทำให้คนที่ไม่สุจริตตกอยู่ในที่นั่งที่ลำบากทั้งทางด้านการเงินและเรื่องส่วนตัวซึ่งสำหรับผมแล้วมันไม่คุ้มเลย และก็เช่นเดียวกัน  ผมนึกถึงคำพูดของ วอเร็น บัฟเฟตต์ที่ว่า  “ถ้าคุณคิดว่าเราใช้เวลา 20 ปีที่จะสร้างชื่อเสียง  แต่ใช้เวลาเพียง 5 นาทีที่จะทำลายมัน  คุณก็จะทำสิ่งต่าง ๆ  ในอีกแบบหนึ่ง”

ข้อสรุปใหญ่ของผมก็คือ ในการที่จะยืนอยู่ในโลกของการลงทุนและการใช้ชีวิตได้อย่างดีและน่าภาคภูมิก็คือ  จงอย่าพาตัวเองเข้าไปอยู่ในตำแหน่งหรือจุดที่อาจจะเกิดอันตราย เพราะวันหนึ่งมันก็อาจจะเกิดขึ้น ถึงแม้โอกาสจะเกิดขึ้นน้อยมันก็ไม่คุ้มที่จะทำ การอยู่ในตำแหน่งที่อันตรายที่เห็นได้ชัดเจนก็เช่น ปล่อยให้ตนเองเป็นหนี้ในระดับที่สูงเกินไป  การทุ่มให้กับการลงทุนในทรัพย์สินบางรายการที่หนักเกินไป  การทำอะไรที่ผิดกฎหมายหรือจริยธรรมอย่างรุนแรงหรือแม้แต่ที่หมิ่นเหม่ต่อสิ่งเหล่านั้น เป็นต้น  แน่นอนว่าไม่มีใครสมบูรณ์แบบโดยเฉพาะคนที่อยู่ใน “ยุทธจักร” ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของการลงทุน และสิ่งที่ตนเองทำอย่างเต็มที่  แต่การตระหนักตลอดเวลาและอาจจะต้องทบทวนตำแหน่งที่ยืนอยู่เสมอก็จะช่วยให้เราเติบโตและอยู่รอดปลอดภัยไปตลอดชีวิต