Australus เพื่อการตลาด

Australus เพื่อการตลาด

ใครๆ ก็รู้จัก Australia และ Austria ที่ไม่มีจิงโจ้ แต่ Australus ยังมีคนรู้จักน้อยแต่อาจพลิกผันไปได้ในอนาคต

เรื่องนี้มีบทเรียนสำหรับผู้บริโภค

Terra Australis แปลว่าดินแดนทางใต้ ในภาษาละตินเป็นดินแดนในจินตนาการที่ปรากฏบนแผนที่ ทั้งๆ ที่ไม่มีการสำรวจมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 5 เนื่องจากเมื่อมีดินแดนทางเหนือที่ชาวโลกอยู่อาศัย ก็เป็นธรรมดาที่ต้องมีดินแดนทางใต้

มาพบดินแดนนี้จริงๆ กันโดยชาวยุโรปในศตวรรษที่ 17 ชื่อดั้งเดิมคือ Terra Australis จึงถูกนำมาใช้เรียก ต่อมาก็เรียกว่า New Holland ตามที่ผู้บุกเบิกชาวดัตช์ Abel Tasman เรียกใน ค.ศ. 1644 ดินแดนนี้ได้มีชื่อว่า Australia ในที่สุดตามการเรียกของนักบุกเบิกชื่อ Mathew Flinders (ค.ศ. 1774-1814)จนเป็นที่รู้จักกันกว้างขวางเพราะออกเสียงง่ายและติดหู ชื่อ Australia ได้กลายเป็นชื่อทางการ ในเดือน เม.ย.ของปี 1817

คราวนี้มาถึงชื่อ Australus ซึ่งมีอายุสั้นมาก เพราะโลกเพิ่งรู้จักชื่อนี้กัน เมื่อ ค.ศ. 2006 นี้เองเมื่อมีการประกวดเรียกชื่อเนื้อของสัตว์ชนิดหนึ่ง ซึ่งมีอยู่ที่ทวีปนี้แห่งเดียวในโลก นั่นก็ คือจิงโจ้ หรือ Kangaroo

ถ้าสังเกตชื่อเนื้อสัตว์จะพบว่า ในภาษาอังกฤษจะมีอะไรที่แปลก เช่น เนื้อของแกะ(sheep) จะมีชื่อเรียกว่า lamb หรือ mutton เพราะแกะมีภาพของความน่ารักจนไม่น่าจะกินลง หากเรียกว่า sheep คงไม่มีคนนิยม จึงสรรหาชื่ออื่นมาเรียกเช่นเดียวกับเนื้อของวัว(cow) ที่เรียกว่า beef  เนื้อของกวาง(deer) เรียกว่า venison เนื้อของหมู pig เรียกว่า pork (กรณีนี้หลีกเลี่ยงการเรียกว่า pig เพราะจะไม่น่ากินเนื่องจาก pig มีความหมายไปทางไม่ดี) คนไทยไม่มีปัญหาเรื่องวัฒนธรรมชื่อกับการกินมากเพราะเรากินได้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะตั้งชื่อว่าอะไร ชื่อบางอย่างที่ถือกันว่าไม่เป็นมงคลเราก็แก้ไขให้กลายเป็นมงคลไปได้ข้ามคืน เช่นเปลี่ยนชื่อต้นลั่นทมเป็นลีลาวดี

ในออสเตรเลียนั้น จิงโจ้มีหลากหลายพันธุ์ ถ้านับทุกสายพันธุ์ตั้งแต่ตัวเล็กเท่าหนูตัวใหญ่จนถึงตัวใหญ่ 5-6 ฟุตแล้ว มีจำนวนไม่ต่ำกว่า 40 ล้านตัว(ประชากรปัจจุบัน 25 ล้านคน)จนกลายเป็นสัตว์ที่เป็นศัตรูทางเศรษฐกิจสำคัญ เพราะกินพืชพรรณที่ปลูกไปมหาศาล ในแต่ละปีร่วมกับกระต่ายอีก 200 ล้านตัว สัตว์ทั้ง 2 ชนิด แพร่พันธุ์เร็วมาก ท้องหนึ่งๆ ใช้เวลาเพียง 30-40 วันเท่านั้นเอง

Australus เพื่อการตลาด

แต่ดั้งเดิมนั้นคนออสเตรเลียเขาไม่กินเนื้อจิงโจ้กัน(เช่นเดียวกับการไม่ไปโบสถ์) ส่วนใหญ่โยนทิ้งหรือไม่ก็เป็นอาหารของสุนัข หรืออย่างดีก็กินแค่ซุปหางจิงโจ้ แต่ 20-30 ปีที่ผ่านมา เกิดมีการค้าเนื้อจิ้งโจ้ขึ้นในประเทศและในระดับโลก(ในปี2010ส่งออกไป 55 ประเทศ) จึงเกิดความคิดที่จะหาชื่อที่เหมาะสมขึ้นให้ห่างไกลภาพลักษณ์อันน่ารักของจิงโจ้ (เจ้า Skippy ในซีรี่ย์โทรทัศน์ ยุคทศวรรษ 1960 เป็นตัวการ) อีกทั้งยังเป็นสัญญลักษณ์ของประเทศอีกด้วย นิตยสารชื่อ Food Companion International ซึ่งสำนักงานใหญ่ อยู่ที่เมือง Sydney จึงจัดการประกวดชื่อเนื้อจิงโจ้ ให้แยกออกไปจากชื่อจิงโจ้ ในปี ค.ศ.2005

ปรากฏว่ามีผู้ส่งชื่อเข้าประกวด 2,700 ชื่อ จาก 41 ประเทศ รายชื่อสุดท้ายที่ได้รับการคัดเลือกก็ได้แก่“Maroo” / “Ozru” / “Marsupan” / “Jumpmeat” / “Rooviande” ชื่อที่ได้รับเลือกคือAustralus ผู้ชนะคือคนอเมริกันชื่อ Steven West (ผู้ชนะการออกแบบเมืองหลวง คือ Canberra ในปี 1911 ก็เป็นคนอเมริกันเช่นกัน ชื่อ Walter Burley Griffin)

ชื่อนี้มีทั้งผู้เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยเวลาผ่านมากว่า 10 ปีแล้ว ก็ยังไม่ติดปากของผู้คนที่บริโภคกันมากขึ้นทั่วโลก(ปีหนึ่งมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 3,500 ล้านบาท) ปีหนึ่งมีโควต้าฆ่าถึง 3.9 ล้านตัว เนื่องจากเนื้อจิงโจ้เกือบทั้งหมดมาจากการล่าสัตว์ และจุดนี้เองที่เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในระดับโลกว่า เป็นการทารุณเพราะแต่ละปีมีลูกที่กำพร้าแม่ถึง 400,000 ตัวและก็ถูกฆ่าตามไปด้วย

อย่างไรก็ดี ก็มีผู้สนับสนุนอีกทางหนึ่งโดยส่งเสริมแนวทางใหม่ของการบริโภคเพื่อลดน้ำหนักที่เรียกว่า Kangatarianism (Kangaroo+vegetarian) ซึ่งแพร่หลายประมาณปี 2010 กล่าวคือ กินเนื้อจิงโจ้เท่านั้นคู่กับผักเพราะมีโปรตีน ไวตามินสูงเป็นพิเศษ อีกทั้งเป็นการช่วยสิ่งแวดล้อม เพราะจิงโจ้เป็นผู้ร้ายตัวเอก และจิงโจ้เป็นสัตว์ป่าไม่ต้องใช้ทรัพยากรที่ดินเลี้ยง แถมผลิต methane ซึ่งเป็น greenhose gas น้อยกว่าวัวมาก

ประเด็นที่น่าสนใจก็ คือการตลาดลวงให้ลืมความน่ารักของสัตว์ด้วยการตั้งชื่อเนื้อ ประชาสัมพันธ์ความน่ากินของเนื้อจิงโจ้จนกลายเป็นเนื้อพิเศษราคาแพงไปแล้ว ทั้งๆ ที่ไม่ได้เลี้ยงในฟาร์มจนมีต้นทุนสูง เรื่องนี้ทำให้นึกถึงเรื่องอื่นๆ ที่ผู้บริโภคอาจถูกหลอกได้ง่ายๆ เช่น (ก) เรื่องไขมันทรานส์(trans fat) ที่อันตรายต่อสุขภาพ หากดูฉลากบนขวดนำ้มันของบ้านเราจะเขียนว่าผ่านกรรมวิธี แต่ไม่บอกว่ากรรมวิธีอะไร เดาได้ว่าผ่านการอัดไฮโดรเจนบางส่วนเข้าไปเพื่อไม่ให้เหม็นหืนง่าย แต่ผลก็คือ เกิดไขมันทรานส์ มันจะมีไขมันทรานส์หรือไม่มิได้อยู่ที่ประเภทน้ำมัน หากอยู่ที่กรรมวิธีในการผลิต บ้านเราเขาพยายามบอกว่าเป็นน้ำมันชนิดนี้แล้วไม่มีไขมันทรานส์

(ข) ถ้าฉลากบนอาหารบอกว่ามีน้ำตาลหรือไขมัน 0% มันมิได้หมายความว่าไม่มีเลย หากแต่มีไม่เกิน 5% (เป็นอย่างนี้เกือบทั่วโลก) เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่ไม่ค่อยรู้กัน

ผู้บริโภคต้องรู้ทันกลวิธีการตลาดที่มาในหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นชื่อหรือข้อมูลที่ให้เรื่องไขมัน น้ำตาลสี กลิ่นส่วนประกอบอื่นๆ ผสมสิ่งที่ต้องระวังเป็นพิเศษคือ ความชอบของตัวเราเองที่เกิดจากการตกหลุมเสียแล้วแต่แรกจากการโฆษณาจึงมิได้ดูฉลาก เฉลียวคิดหรือระแวดระวังการคิดเข้าข้างตัวเอง ไม่มีอะไรน่ากลัวไปกว่าการหลอกตัวเองเมื่อตกหลุมชอบลงไปเสียแล้ว