เมื่อ Blockchain ปฏิวัติวงการกฎหมาย
เดิมทีหากกล่าวถึงบทบาทของเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) เรามักนึกถึงการทำงานของ Cryptocurrency สกุลต่างๆ ซึ่งบทบาทของ Blockchain
ในระยะเริ่มต้น คือการนำมาใช้กับระบบการเงินดิจิทัล แต่ในปัจจุบัน Blockchain ถูกนำไปใช้ในหลากหลายอุตสาหกรรมมากขึ้น เช่น ธุรกิจประกันภัย ธุรกิจจิวเวลลี่ ธุรกิจการค้าและการขนส่ง ไม่เว้นแม้แต่ในวงการกฎหมาย
Blockchain คืออะไร?
Blockchain คือ ระบบจัดการข้อมูลในลักษณะการกระจายข้อมูล (decentralized) ไปยังคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องที่อยู่ในเครือข่าย (peer-to-peer) โดยระบบจะตั้งเงื่อนไขให้การจัดเก็บข้อมูล ที่ป้อนเข้าไปใหม่ในแต่ละครั้ง ต้องได้รับความยินยอมจากคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องในระบบก่อน และเมื่อได้รับความยิมยอมแล้ว ข้อมูลที่ใส่เข้ามานั้นจะไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงได้ (Immutability)
โดยในส่วนของการบันทึกข้อมูล คอมพิวเตอร์ทุกเครื่องในระบบจะถือชุดข้อมูลแบบเดียวกัน ซึ่งเปรียบเสมือนทุกคนถือสมุดบัญชีเล่มเดียวกัน และหากมีการเพิ่มข้อมูลเข้ามาใหม่ในแต่ละครั้ง ข้อมูลจะถูก update ไปยังสมุดบัญชีเล่มดังกล่าวที่ทุกคนในระบบถืออยู่ (distributed leger) ซึ่งเท่ากับว่าทุกคนจะมี copy ของข้อมูลนั้นเหมือน ๆ กัน
ดังนั้น การทำงานของ Blockchain จึงแตกต่างกับการจัดการข้อมูลของคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน กล่าวคือ ระบบคอมพิวเตอร์จะมีการรวมข้อมูลทั้งหมดไว้ที่ server ซึ่งการดูแล server จะเป็นหน้าที่ของตัวกลาง โดยตัวกลางในที่นี้ คือ หน่วยงานหรือองค์กรที่มีหน้าที่ดูแลและควบคุมข้อมูล
ซึ่งต่างจากหลักการของ Blockchain ที่ใช้ระบบจัดเก็บข้อมูลแบบกระจายผ่านการบันทึกข้อมูลในลักษณะบัญชีเล่มเดียว ซึ่งเป็นการสร้างฐานข้อมูลในรูปแบบบัญชีธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ที่ข้อมูลไม่ได้รวมไว้ที่ใดที่หนึ่ง แต่อยู่กับทุกคนในระบบ
การสร้างสัญญาแบบ Smart Contract บน Blockchain
คือ การสร้างเงื่อนไขหรือข้อตกลงตามสัญญา (ไม่ต่างไปจากการทำสัญญาในรูปแบบกระดาษ) แต่เงื่อนไขที่สร้างจะถูกจัดเก็บไว้ในรูปแบบรหัส code ซึ่งบันทึกไว้ใน Blockchain โดยการตั้งเงื่อนไขใน Smart Contract ของคู่สัญญาจะเป็นการทำธุรกรรมระหว่างกันแบบอัตโนมัติ (Automated) เช่น หากมีการชำระราคาแล้วให้มีการโอนกรรมสิทธิ์ หรือ หากราคาหุ้นขึ้นถึงระดับ XY ให้ระบบสั่งขายทันที เป็นต้น
ดังนั้น ในมุมกฎหมาย Smart Contract คือ การนำเจตนาเสนอ-สนองของคู่สัญญามาแปลงให้อยู่ในรูปแบบดิจิทัล เพื่อให้สัญญามีผลทันทีที่เจตนาของทั้งสองฝ่ายต้องตรงกัน ซึ่งสำหรับผู้เขียนสัญญาในแบบดิจิทัลนี้ย่อมมีทั้งข้อดีและข้อเสียในการปรับใช้
สำหรับข้อดี เป็นการสร้าง Trust protocol ระหว่างคู่สัญญา กล่าวคือ เมื่อระบบไม่อนุญาตให้แก้ไขข้อมูลที่ได้บันทึกไว้ใน Blockchain ย่อมเป็นการลดความเสี่ยงในการปลอมแปลงเอกสารและการบิดเบือนถ้อยคำในสัญญา แต่ในทางกลับกัน Smart Contract มีลักษณะอัตโนมัติ ดังนั้น สัญญาประเภทที่มีเนื้อหาซับซ้อน มีเงื่อนไขหรือข้อกำหนดในสัญญามาก (เช่น “คู่สัญญาไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญาได้ เพราะเหตุสุดวิสัย ให้ถือว่า…”) อาจยังไม่เหมาะกับการจัดทำในรูปแบบ Smart Contract เท่าไรนัก
เมื่อศาลนำ Blockchain มาใช้ในการพิจารณาคดี
“Court of Blockchain” เป็นแนวคิดในการปฏิวัติวงการศาลในประเทศดูไบ กล่าวคือ มีการจัดทำข้อเสนอให้ปรับปรุงกฎหมายและกระบวนการพิจารณาคดีความของศาลให้รองรับการทำธุรกรรมประเภทต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี Blockchain ซึ่งขอเสนอดังกล่าวไม่เพียงแต่ปรับปรุงกฎหมายที่ล้าสมัย แต่ศาลจะต้องเข้าใจกลไกของ Blockchain เพื่อนำมาปรับใช้ในกระบวนการพิจารณาคดีในด้านต่างๆ ด้วยเช่นกัน
ข้อเสนอที่น่าสนใจ เช่น การสร้างแนวทางในการระงับข้อพิพาทให้กับศาลในคดีที่เกี่ยวข้องกับการตีความคอมพิวเตอร์ code ในสัญญาประเภท Smart Contract, การนำ Blockchain มาสร้าง Platform เพื่อแก้ไขปัญหาการบังคับใช้กฎหมายในคดีระหว่างประเทศ (Cross-border Enforcement) และการใช้ Blockchain ในการบันทึกข้อมูลหรือจัดเก็บเอกสารสำคัญต่างๆ ที่เกี่ยวกับกระบวนการพิจารณาอันเป็นการลดขั้นตอนในการผลิตเอกสารซ้ำซ้อน
Blockchain เป็นพยานหลักฐาน ที่ศาลรับฟังได้
จากข้อเท็จจริงที่ว่า การบันทึกข้อมูลใน Blockchain นั้น “ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้” ทำให้ข้อมูลทั้งหลายที่ถูกบันทึกไว้ใน Blockchain มีที่มาที่ไปชัดเจนและเป็นการสร้างหลักฐานที่ง่ายต่อการติดตาม
ด้วยลักษณะพิเศษของ Blockchain นี้ ศาลสูงในประเทศจีนจึงยอมรับข้อมูลที่ถูกบันทึกไว้ใน Blockchain ว่าเป็นพยานหลักฐานที่ชอบด้วยกฎหมายและสามารถใช้ประกอบการพิจารณาคดีได้ โดยศาลสูงได้กำหนดหลักการให้ศาลอินเทอร์เนต (Internet Court) ทั่วประเทศจีนยอมรับข้อมูลดิจิทัลที่คู่ความได้ใช้ประกอบการพิจารณาคดี หากข้อมูลดิจิทัลนั้นได้ถูกบันทึกไว้ในระบบ Blockchain ซึ่งสามารถพิสูจนได้ว่ามีการลงเวลา (Timestamp), มีการใช้ลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์ (Digital signature) และข้อมูลได้ผ่านกระบวนการ Hash Function (การย่อหรือทำข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ต้นฉบับให้สั้นลง) แล้ว
โดยคู่ความที่จะใช้ข้อมูลในลักษณะดังกล่าวในกระบวนการพิจารณาคดี จะต้องสามารถพิสูจน์องค์ประกอบทางเทคโนโลยีและความยืนยันความถูกต้องของข้อมูลให้ชัดเจนด้วย ศาลจึงจะรับฟังเป็นพยานหลักฐานในคดีได้
ท้ายที่สุด ผู้เขียนเชื่อว่า Blockchain คือเทคโนโลยีแห่งอนาคต และจะปฏิวัติการดำเนินงานของทุกวงการในรูปแบบเดิมไม่เว้นแม้แต่วงการกฎหมาย นักกฎหมายรุ่นใหม่จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเรียนรู้การเปลี่ยนแปลงในบริบทนี้
[บทความนี้เป็นความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน]