Baidu – ลิขิตฟ้า หรือจะสู้มานะตน

Baidu – ลิขิตฟ้า หรือจะสู้มานะตน

หากกล่าวถึงกลุ่มดิจิทัลผู้บุกเบิกและผลักดันให้จีนผงาดขึ้นในเวทีโลก คงไม่พ้นสามเสือแห่ง “BAT” ซึ่งหมายถึงสามบริษัทยักษ์ใหญ่

“Baidu, Alibaba และ Tencent” ที่มีรายได้รวมกันกว่า 2,860,000 ล้านบาท ความสำเร็จของกลุ่ม BAT ได้สร้างชื่อเสียงให้ดิจิทัลแดนมังกรก้าวขึ้นเป็นผู้นำแนวคิดดิจิทัลในหลายด้าน

Baidu ในวันนี้ครองส่วนแบ่งตลาดของเสิร์ชเอนจินในจีนถึง 70% และมีรายได้ในไตรมาสที่ผ่านมากว่า 125,000 ล้านบาท เสือตัวนี้มีตำนานไม่น้อยหน้าใครและกำลังมีบทบาทสำคัญในการผลักดันนวัตกรรม AI ในรถยนต์ไร้คนขับ (Autonomous Vehicle, AV) ให้กับอุตสาหกรรมอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมากก่อน

 

กำเนิด Baidu.com

โรบิน ลี (Robin Li) ซีอีโอของไบดูเป็นผู้หลงไหลในการพัฒนาเทคโนโลยีเสิร์ชเอนจินตั้งแต่เมื่อครั้งศึกษาและทำงานในอเมริกา จนทำให้เขาพัฒนาอัลกอริธึมการจัดลำดับคะแนนเพื่อแสดงผลเสิร์ชบนหน้าเว็บขึ้นเรียกว่า “Rankdex” พร้อมทั้งจดสิทธิบัตรงานชิ้นนี้ในอเมริกาเมื่อปี 1996 ซึ่งต่อมาได้ถูกพัฒนาเป็นกลไกสำคัญของเสิร์ชเอนจินชื่อ “ไบดู (Baidu.com)”

ในปี 2000 ด้วยความเชื่อมั่นในโอกาสทองของเสิร์ชเอนจินที่กำลังมาถึง โรบินตัดสินใจย้ายครอบครัวกลับประเทศจีน และก่อตั้งบริษัทร่วมกับอีริค ซู เพื่อให้บริการเสิร์ชเอนจินกับเว็บท่าต่างๆ และเปิดเว็บไซต์ไบดูที่ก้าวขึ้นเป็นเสิร์ชเอนจินอันดับหนึ่งของจีนในเวลาต่อมา ไบดูประสบความสำเร็จจากการริเริ่มขายโฆษณาในเสิร์ชเอนจินเมื่อมีคนคลิกโฆษณา (Click Through) ซึ่งสร้างกำไรอย่างมากในปี 2004 จนส่งผลให้ไบดูขึ้นแท่นเป็น “China’s Google” และเป็นหุ้นมาแรงเมื่อเข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์ NASDAQ เมื่อปี 2005

 

ความเหมือนที่แตกต่าง

โรบิน ลีมักถูกท้าทายว่าไบดูลอกแบบกูเกิลจนประสบความสำเร็จเช่นทุกวันนี้ ทำให้เขาต้องออกมาเฉลยข้อกังขาผ่านเว็บไซต์ techinasia.com ว่าการทำงานของไบดูแตกต่างจากกูเกิล เช่น ระยะแรกในยุคพีซี ไบดูสนใจการ Index คอนเทนท์ที่สร้างโดยผู้ใช้ (User Generated Content, UGC) เช่น คอมเมนท์ หรือเนี้อหาจากสมาชิกของเว็บ ทำให้ได้ผลเสิร์ชที่เป็นคอนเทนท์ใหม่เกิดจากผู้ใช้โดยตรง ขณะที่กูเกิลจะ Index คอนเทนท์ในหน้าเว็บที่ถูกสร้างไว้ก่อนแล้ว

เมื่อเข้าสู่ยุคโมบาย ไบดูมุ่งเน้นการพัฒนาเสิร์ชที่เชื่อมต่อข้อมูลและบริการเข้าด้วยกัน เช่น หากค้นหาคำว่า “cinema” ไบดูจะแสดงข้อมูลโรงภาพยนตร์ที่อยู่ในระยะห่าง 1.1 กิโลเมตร ให้ข้อมูลภาพยนตร์ที่กำลังฉาย มีที่นั่งว่างหรือไม่ และสามารถสั่งซื้อตั๋วได้ ซึ่งเป็นการเชื่อมต่อกิจกรรมและข้อมูลเข้าด้วยกัน ในขณะที่กูเกิลยังคงเน้นการพัฒนาไปยังระบบอีโคซิสเต็มของแอนดรอยด์และเทคโนโลยีอื่น

ในยุคพีซีซึ่งนับเป็นยุคทองของออนไลน์คาเฟ่เช่นกัน ไบดูได้วางกลยุทธ์การเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคชาวจีนโดยโหมติดตั้งลิงค์ไบดูที่หน้าจอเครื่องเล่นเกมส์ในออนไลน์คาเฟ่ และยังเปิดให้เชื่อมต่อลิงค์ไปยังเว็บไซต์ดาวน์โหลดเพลงที่ไม่คำนึงถึงลิขสิทธิ์ (mp3) ซึ่งถูกใจผู้ใช้งานจนทำให้ไบดูเป็นที่นิยมอย่างกว้างขวาง นอกจากนั้นไบดูยังจัดทีมสนับสนุนการซื้อ Ad บนเว็บไซต์ไบดู เพื่อให้ความสะดวกแก่บริษัทห้างร้านหรือบุคคลทั่วไปให้สามารถซื้อโฆษณาบนไบดูได้ง่ายที่สุด กลยุทธ์และการต่อสู้ของไบดูในเวลานั้นทำให้การเข้าช่วงชิงตลาดผู้บริโภคในจีนเป็นเรื่องยากเกินกว่าที่กูเกิลจะเปิดเกมส์รุกได้สำเร็จ

 

ผงาดสู่ผู้นำ AI

โรบิน ลีประกาศว่า “ไบดูเป็นบริษัทเทคโนโลยี” ไม่ใช่เป็นเพียงบริษัทเสิร์ชเอนจินเท่านั้น จากการที่ได้เก็บเกี่ยวความสำเร็จจากยุคเสิร์ชเอนจินมาแล้ว โรบินเห็นว่ายุคต่อไปของไบดูคือ AI ซึ่งแสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ด้าน AI ก่อนบริษัทอื่นในกลุ่ม BAT โดยในปี 2011 ไบดูริเริ่มค้นคว้าและพัฒนานวัตกรรม AI อย่างจริงจังด้วยการสร้างทีมงาน AI ที่แข็งแกร่งรวมถึงเปิดศูนย์วิจัยในซิลิคอนวัลเลย์ และเร่งลงทุนใน R&D เพิ่มขึ้นทุกปี โดยในปี 2017 ไบดูได้ลงทุนในงานวิจัยกว่า 50,000 ล้านบาท ดังนั้นเมื่อรัฐบาลจีนขอให้ความร่วมมือจากกลุ่ม BAT เพื่อช่วยพัฒนานวัตกรรม AI ไบดูจึงเข้ารับบทบาทในการเป็นผู้นำเพื่อผลักด้นนวัตกรรมรถยนต์ไร้คนขับให้กับรัฐบาลจีน

 

ถึงหมากที่ต้องรุก

ในเดือนเมษายน 2017 ไบดูได้ประกาศโครงการ “Apollo” ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มสำหรับรถยนต์ไร้คนขับ (AV) โดยเป็น Open Platform ที่มีข้อมูลมากมายสำหรับขับเคลื่อนรถยนต์ หรือเปรียบเสมือนแอนดรอยด์สำหรับรถ AV เพื่อช่วยให้พันธมิตรสามารถสร้างหรือเข้ามาร่วมในอีโคซิสเต็มของรถ AV ที่สั่งการโดยแพลตฟอร์ม Apollo โดยแทนที่จะพัฒนาแพลตฟอร์มสำหรับระบบ AV เพียงลำพัง ไบดูกลับเชิญชวนพันธมิตรในด้านต่างๆ เข้าร่วมในการพัฒนาและต่อยอดความสำเร็จด้วย จนปัจจุบันมีพันธมิตรรายใหญ่เข้าร่วมกว่า 100 ราย อาทิ บีเอ็มดับบลิว เดมเลอร์ ฟอร์ด ฮอนด้า ฮุนได เอ็นวิเดีย (Nvidia) และไมโครซอฟต์ เป็นต้น

 

การพลิกบทบาทของไบดูในครั้งนี้ จึงเหมือนการดิสลัพอุตสาหกรรมรถยนต์และ AV ไปพร้อมกัน นับเป็นลีลาและเขี้ยวเล็บของเสือตัวนี้ที่ต้องติดตามต่อไป