วัฒนธรรมร้านกาแฟ ผับ บาร์ สถานเริงรมย์ของคนไทย

วัฒนธรรมร้านกาแฟ ผับ บาร์ สถานเริงรมย์ของคนไทย

ผ่านไปยังซ.เอกมัย เมื่อคืนวันก่อน เพราะคนขับรถตั้งใจ หรือหลงไปไม่ทราบได้ มาตื่นขึ้นก็ถึงซ.เอกมัย ถ.สุขุมวิท

ด้วยความที่ผมไม่ใช่นักท่องราตรีเลยไม่ทราบว่าเดี๋ยวนี้ย่านทองหล่อ เอกมัย กลายเป็นแหล่งสถานบริการกันดาษดื่น รถราติดขนัดเพราะซอยดังกล่าวมีช่องทางให้รถวิ่งเหลือเลนเดียว คือเลนกลางถนนของทั้ง 2 ฝั่ง ด้วยเหตุที่มีรถราของทั้งคนมาเที่ยวและแท็กซี่แออัดกันอยู่ฝั่งซ้าย ถามคนขับรถว่าทำไมไม่ไปอโศก เขาตอบว่าเข้าอโศก ศุกร์ - เสาร์ - อาทิตย์ ราวๆ  3 - 4 ทุ่มติดมากกว่านี้อีกครับนาย ทำให้เข้าใจได้ว่าสถานบันเทิงมิได้สร้างความเดือดร้อนเฉพาะเพื่อนบ้านละแวกนั้น ที่ต้องขายที่ดินย้ายไปอยู่ในที่ซึ่งเหมาะสมเป็นที่พักอาศัย มีบางร้านให้คนมาเที่ยวเอารถยนต์ขึ้นไปก่ายเต็มฟุตบาท คิดว่านอกจากรัฐจะเก็บภาษีกับธุรกิจสีเทาๆ พวกนี้ได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย ยังเป็นแหล่งซ่องสุมอบายมุขสารพัดแบบ สร้างความเดือดร้อนรำคาญให้คนสัญจรไปมา เราไม่รู้สึกดีใจที่เห็นบ้านเมืองเราดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้ามาได้ด้วยธุรกิจจำพวกนี้เลย

มาย้อนดูอดีต กรุงเทพเมื่อผมยังหนุ่มแน่น ต้องผ่านย่านเอกมัยเวลาเดินทางไปฉะเชิงเทรา นับครั้งไม่ถ้วน คนขับรถผมอายุน้อยกว่าสัก 10 ปี แต่เขายังจดจำเรื่องราวเก่าๆ ได้ดี ระหว่างรถติดเกือบชั่วโมงเต็มๆ มองออกไปที่ท้องถนนเลยคุยกันเรื่องอดีตว่า เราเคยเห็นอะไรบ้างย่านเอกมัย ตั้งแต่ร้านขายกล้วยไม้ ที่ผมเคยซื้อหาไปปลูกที่บ้าน เคยมีพรรคการเมืองใหญ่อยู่ย่านนี้ มีคนขายพวงมาลัยตามถนนคอยวิ่งขายรถที่วิ่งผ่านไปมาในเวลานั้น รวมทั้งรถเมล์สาย 23 72 ของ ขสมก ที่แม้จะขาดทุนก็ยังวิ่งรับส่งในการเดินทางสัญจรไปมาไม่ขาดสาย เป็นชีวิตคนกรุงเทพเมื่อสัก 40 ปีที่แล้วมาคุ้นชิน เวลาอาจดูนานแต่ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นแบบที่เห็นมันไม่ใช่สิ่งที่เราอยากเห็น จะว่าไปแล้ว ที่ดินละแวกนั้นตามการสำรวจล่าสุดระบุชัดว่า ตารางวาละล้านบาทขึ้นไป ถ้าไม่ใช่เจ้าของที่สติแตกทำธุรกิจนี้เองก็อาจเป็นเศรษฐีที่อื่นมาลงทุน เพราะคงไม่น่าจะมีคนเพี้ยนขนาดซื้อที่ผืนละร้อยกว่าล้านมาเปิดผับ บาร์ เป็นธุรกิจที่สร้างความเดือดร้อน มีเรื่องมีราวเกิดการวิวาทในสถานเริงรมย์เป็นข่าวกันเกรียวกราวอยู่เป็นวรรคเป็นเวร ก็น่าจะต้องมาคิดกันว่า คนมีอำนาจอนุมัติมีอะไรมากดทับสติปัญญา เพราะเห็นข้าราชการพนักงานของรัฐเดินทางศึกษาดูงานต่างประเทศกันเป็นว่าเล่น ก็น่าจะรู้อยู่ว่า เรื่องการจัดโซนนิ่งหรือย่านการค้าธุรกิจประเภทต่างๆ เขาทำเป็นสัดเป็นส่วนมาช้านาน ไม่ใช่ว่าใครนึกจะเอาบ้านตัวเองมาทำธุรกิจอะไรก็ทำได้ เหมือนร้านสะดวกซื้อ ซี่งจริงๆ ก็ไม่น่าจะเป็นสิ่งที่ถูกต้องนัก ที่แม้จะไม่กำไรแต่ก็เห็นร้านสะดวกซื้อเปิดติดกันเป็นทิวแถว เพียงเพื่อยับยั้งไม่ให้คู่แข่งมาเปิดแข่งกับยี่ห้อของตน เห็นอยู่โทนโท่ว่า เป็นการกีดกัน ผูกขาดทางการค้าอย่างชัดเจน แต่เจ้าหน้าที่ก็ทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราว อนุมัติให้ทำมาหากินกันดาษดื่น

เขียนมาแบบนี้ คนไม่ชอบใจคงฉุนเฉียวหรืออาจมองว่า เป็นข้าราชการไปนั้นแหละดีแล้ว ไม่เหมาะจะมาทำธุรกิจการค้า อันนี้คงเข้าใจอะไรผิดไป ความจริงผมเองเป็นคนคิดอ่านอยากเป็นนักธุรกิจ อยากทำการค้ามาตั้งแต่วัยรุ่น มองเห็นช่องทางมากมาย แต่เห็นสิ่งที่นักธุรกิจจำนวนหนึ่งเอารัดเอาเปรียบสังคม รวมทั้งใช้เส้นสายอิทธิพล แม้กระทั่งจับคู่แต่งงานกันเพื่อต่อยอดขยายเครือข่ายธุรกิจของตัวเองแล้วเลยเห็นว่า ทำการค้าในสังคมเราจะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายเหมือนปลอกกล้วยเข้าปากก็ง่ายจริงๆ ขอให้มีเส้นสาย มีพรรค มีพวก มีอำนาจ รู้จักคนให้ถูก เลือกข้างให้ถูก ทุกอย่างก็ไปได้ราบรื่น ไม่ต้องกลัวเจ๊ง เพราะเห็นมันง่ายอย่างที่ว่านี้แล้วถ้าคิดจะทำวันใดขึ้นมาคงไม่สายไป ผมเลยตัดสินใจว่าชีวิตคนเราเกิดมาแล้วต้องทิ้งร่องรอยความดีงามให้สังคมคนรุ่นหลังเอาไว้ให้เขาพูดถึงบ้าง เลยคิดว่ารับราชการเงินเดือนน้อยแต่ไม่เดือดร้อนไม่ไปโกงใครน่าจะเป็นประโยชน์ ทั้งตนเองและคนส่วนใหญ่ก็น่าจะมาทางนี้มากกว่า

ธุรกิจหรือสิ่งที่วัยรุ่นหรือคนไทยสมัยนี้นิยมทำกัน คือ คิดอะไรไม่ออกก็เปิด “ร้านกาแฟ” เปิดร้านขนม ขายเค้ก ขายคุ้กกี้ ขายอาหาร และสถานบันเทิง เท่าที่เห็นมาก็แนวนี้เป็นส่วนใหญ่ ที่ออกไปในทางสื่อโซเชียล ก็คล้ายกัน ประเภทซื้อมาขายไป ก็หนีไม่พ้นเรื่องการขายของแบบตามๆ กันมา เราถึงได้เห็นย่านการค้าหลายๆ แห่งเป็นที่รวมของคนขายของคล้ายๆ กันอยู่ล้นหลาม ข้อดีอาจทำให้เกิดแรงจูงใจให้คนที่สนใจในเรื่องนั้นๆ มาจับจ่ายซื้อสินค้า เพราะมีร้านรวงให้เลือกเยอะ การกินดื่มเที่ยวเป็นปัจจัย 1 ใน 4 ที่มนุษย์ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้เลยทำกันเป็นล่ำเป็นสัน แต่อีกประการที่เห็นได้ชัด คือ มันสะท้อนความไม่สร้างสรรค์ที่คิดอ่านตามๆ กันเป็นส่วนใหญ่ ถ้าเราพร้อมจะแหวกวงล้อมความซ้ำซากออกมาได้ เราน่าจะได้เห็นคนไทยไปยืนอยู่ในแถวหน้าในระดับโลกมากขึ้น ผมอยู่ต่างประเทศมาร่วมๆ 10 ปี ได้เห็นวัฒนธรรมการกินดื่มเที่ยว ของหลายๆ แห่งต่างจากสังคมเรามาก เพราะมันมีกำหนดเวลาชัดเจน ผับ บาร์ คือ สถานที่พูดคุยทานอาหาร ไม่ใช่ที่เปิดเพลงดังสนั่นหวั่นไหว หรือมั่วสุมเรื่องยาเสพติดและอบายมุข กระทั่งเราเรียกเป็นที่อโคจร

เวลานี้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ขายดิบขายดี คนไทยมีสตุ้งสตางค์ซื้อเองก็ส่วนหนึ่ง อีกส่วนกลายเป็นคนต่างชาติต่างภาษา มาซื้อหาโดยใช้นอมินีก็มาก เป็นบริษัทต่างชาติมาซื้อผ่านบริษัทคนไทยที่ตัวเองถือหุ้นเกือบจะเป็นเจ้าของกิจการได้เองก็ไม่น้อย สรุปแล้ว วันนี้ ความอู้ฟู่ทางเศรษฐกิจของบ้านเมืองมัน อยู่ในสภาวะ พองลม เหมือนอึ่งอ่างพยายามจะแผดเสียงร้องให้ดังออกไปไกลๆ ก็ต้องพองลมให้โตขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งต้องยอมรับว่าเป็นแบบนี้มาช้านาน ไม่ใช่เพิ่งจะเกิดขึ้นในยุคสมัยนี้ นั่นคือเหตุผลที่ทำไมคนถึงมักพูดกันว่า ยิ่งพัฒนายิ่งล้าหลัง เพราะคนส่วนใหญ่ยังมีกรอบความคิดที่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงตัวเอง จึงไม่ต้องอธิบายให้ซับซ้อนถึงภาษิตที่ว่า “ความกลัวทำให้เสื่อมจริง” เพราะคนส่วนใหญ่ กลัวความเปลี่ยนแปลง กลัวโน่นนี่ เพลย์เซฟสุดๆ คือ ไม่ต้องทำอะไร อยู่เฉยๆ ดีกว่า ไม่เจ็บตัว

เวลานี้ก็ใกล้เลือกตั้งเข้ามาแล้ว แต่เราเห็นว่าทุกพรรคการเมืองที่เสนอตัวเข้ามา แม้รัฐบาลยังไม่คลายล๊อกต่างๆ ให้อย่างเต็มที่ ก็ชัดเจนว่า เราไม่มีตัวเลือกใหม่ๆ เพราะที่แง้มๆ แนวนโยบายหรืออุดมการณ์ของพรรคที่รัฐธรรมนูญคาดหวังให้แต่ละพรรคการเมืองต้องมี ก็เหมือนจะไม่ต่างกัน ส่วนใหญ่เอาอุดมการณ์เป็นฉากบังหน้าเพื่อให้ครบถ้วนตามข้อกำหนดกฎหมาย แต่สิ่งที่จะทำแน่ๆ คือ เล็งดูว่าใครมีอำนาจใครจะมีโอกาสได้เป็นรัฐบาล ถ้าเลือกคนพวกนี้เข้ามาก็มีแต่จะทำให้ปัญหาของประเทศทุกปัญหา รวมทั้งเรื่องที่เขียนถึงอย่างยืดยาวไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ อยากให้คนไทยทุกคนหรืออย่างน้อยที่สุดเยาวชนคนรุ่นหลังของเราในวันนี้ เปลี่ยนตัวเอง แต่อย่าไปเปลี่ยนตามแฟชั่นเหมือนที่ผมเห็นเด็กวัยรุ่นที่สถานบันเทิง ย่านทองหล่อเอกมัย เดินกันเพ่นพ่านใส่กางเกงตัวสั้นๆ ไปเอาแบบเกาหลี ญี่ปุ่น แต่ตัวเองเป็นคนไทยกับหลงลืมและน่าจะภาคภูมิใจกับความเป็นไทยให้มากกว่านี้ ขนาดคนลาว คนเขมร คนพม่า เขาเคยเป็นเมืองขึ้นฝรั่งมาก่อน เขายังยึดติดกับวัฒนธรรมประเพณีแถมยังชื่นชมคนไทย ความเป็นไทยของเรามากกว่า