วิชาหาความสุข

วิชาหาความสุข

โรงเรียนส่วนใหญ่มักไม่ได้สอนเรา เรื่องการหาความสุขในชีวิต เห็นด้วยไหมคะว่ามันเป็นวิชาที่ทุกคนควรร่ำเรียนไว้เพื่อทำให้ชีวิตมีความสุขพอสมควร

สถานศึกษาล้วนมุ่งหน้าสอนวิชาความรู้และเทคโนโลยีเพื่อให้นักศึกษามีความรู้และทักษะไปประกอบอาชีพ เมื่อมีอาชีพหมายความว่าก็จะมีรายได้ไปหาซื้อปัจจัยสี่มาทะนุบำรุงตนเองแลครอบครัวให้ดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างพอเพียงหรืออย่างเกินพอ ถือเป็นการบำรุงความสุขทางกาย น้อยนักที่สถานศึกษาและครูอาจารย์จะสอนเรื่องของชีวิตว่าทำอย่างไรจึงจะมีความสุขในการทำงานและการดำเนินชีวิตส่วนตัวท่ามกลางสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป เรามาลองศึกษาด้วยกันดีไหมคะว่าบุคคลที่ประสบความสำเร็จในชีวิตการงานและครอบครัวเขามีมุมมองในการใช้ชีวิตอย่างไร

เริ่มกันด้วยแจ็ค หม่า หรือหม่า หยุน อภิมหาเศรษฐีประธานกรรมการบริหารอาลีบาบา กรุ๊ป คงไม่ต้องร่ายยาวเรื่องประวัติความเป็นมาของแจ็คที่คนรุ่นใหม่คงจำได้จนขึ้นใจและหลายคนใฝ่ฝันที่จะประสบความสำเร็จอย่างเขาบ้าง ตอนนี้แจ็คเองอาจจะจำไม่ได้ด้วยซ้ำไปว่าเขามีเงินมากแค่ไหน

ขามักกล่าวว่าตอนที่เขายังเป็นครูสอนภาษาอังกฤษและมีรายได้เดือนละประมาณ 12 ดอลลาร์สหรัฐฯ นั้น “เป็นช่วงชีวิตที่ดีที่สุด” และ เป็นชีวิตที่สนุก” โดยเขาอธิบายว่าเมื่อคุณมีเงินไม่มากนัก คุณรู้ว่าจะใช้เงินอย่างไร

แต่เมื่อกลายเป็นมหาเศรษฐีมีเงินเป็นพันล้าน คุณจะต้องมีความรับผิดชอบสูงมาก เพราะเงินเหล่านั้นไม่ใช่ของคุณคนเดียว เงินที่ผมมีในเวลานี้มันเป็นความรับผิดชอบ มันเป็นความไว้วางใจที่ผู้คนมีให้กับผม ด้วยความสำนึกแบบนี้ทำให้แจ็คบอกว่าเขาจำเป็นต้องใช้เงินที่มีในนามของสังคม (ที่เชื่อถือในตัวเขา) เขาพูดเรื่องภาระที่แบก (เงิน) ไว้บนบ่านี้บ่อยๆ ว่ามันเป็นความรับผิดชอบต่อสังคมและคนส่วนใหญ่ ซึ่งมันเป็นภาวะกดดันทีเดียว

แจ็คมีวิธีคิดและปฏิบัติในการลดความกดดันที่เกิดขึ้นเมื่อสังคมและผู้คนมีความคาดหวังที่สูงมากกับตัวเขาด้วยการ “สงบจิตใจลงและเป็นตัวของตัวเอง เวลาที่ผมเป็นตัวของตัวเอง ผมสร้างผลงานได้ดี...” เชื่อว่าคนที่ประสบความสำเร็จอย่างมหาศาลแบบแจ็ค หม่าย่อมได้รับความสนใจชื่นชมและคาดหวังในตัวเขาสูงมาก มากจนบางคนอาจรับไม่ไหว

มิฉะนั้นเราคงไม่ได้เห็นเซเล็บศิลปินคนดังหลายคนที่ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วจนรับกระแสความนิยมที่หลั่งไหลท่วมตัวเขาไม่ไหว เพราะชีวิตของเขาจะไม่มีความเป็นส่วนตัวอีกต่อไป กลายเป็นต้องใช้ชีวิตตามความคาดหวังของคนอื่น หลายคนติดยาเสพติดที่ช่วยให้เขาหลบหนีโลกแห่งความจริงที่มีความเครียดมากเกินรับ และบางคนก็ตัดสินใจชั่ววูบจบชีวิตตนเองเพื่อหนีความเครียดนั้น ไม่น่าเชื่อแต่ก็ต้องเชื่อว่าการเป็นตัวของตัวเองเมื่อเป็นคนดังนั้นมันทำได้ยากเหลือเกิน ต้องเป็นผู้ที่มีวุฒิภาวะทางอารมณ์สูงในการบริหารจิตอารมณ์ของตนเองจึงจะรักษาตัวรอดได้จากสภาพนี้

เราข้ามไปคุยกันถึงบิลล์ เกตส์และวอร์เรน บัฟเฟตต์ คู่หูต่างวัยกันบ้าง ทั้งสองคนนิยามว่าความสำเร็จในชีวิตของเขาว่าไม่ได้วัดจากจำนวนเงินที่มี แต่เป็นเรื่องของการที่ได้ใช้เวลาอยู่กับสมาชิกในครอบครัวที่เขารักและได้เห็นคนที่อยู่ใกล้ตัวมีความสุขและรักเขา บางคนได้ยินคำพูดนี้อาจจะแย้งว่า “ก็ลองให้จนไม่มีเงินใช้ดูสิ ยังจะพูดแบบนี้ไหม” การที่ท่านคิดแบบนี้ก็ไม่ผิดแน่นอนและเราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าหากไม่มีเงินทองไว้ใช้สอยในการซื้อหาปัจจัยสี่ ชีวิตคงยากที่จะดำเนินไปได้อย่างปกติสุข โดยเฉพาะความสุขทางกาย

แต่ถึงชีวิตมีปัจจัยสี่...ห้า...หก ฯ แล้ว ก็ใช่ว่าชีวิตจะมีความสุข หลายคนมีเงินมากมายแต่ก็หาความสุขไม่ได้ ซึ่งเป็นเรื่องน่าเศร้าใจยิ่งกว่าเห็นคนที่จนเงินแล้วบอกว่าไม่มีความสุขเสียอีก คนรวยอย่างบิลล์ใช้เวลากับครอบครัว เช่น เดินทางไปดูมหาวิทยาลัยต่างๆกับลูกชายเพื่อเลือกที่เรียน ขับรถไปส่งลูกที่โรงเรียน เป็นต้น และบางครั้งเขาก็จำเป็นต้องปลอมแปลงปิดบังรูปโฉมไม่ให้คนจำได้บ้างเพื่อความเป็นส่วนตัวแบบคนดังหลายคนต้องทำกัน ปัจจุบันนี้บิลล์แอบหวังไว้เล็กๆว่าวันหนึ่งเขาจะได้เป็นคุณปู่ซึ่งเป็นความสุขที่คนเป็นพ่อธรรมดาๆคนหนึ่งจะพึงคาดหวัง

คนต่อไปที่อยากคุยถึงคือมหาเศรษฐีที่ใช้ชีวิตเปรี้ยวแซ่บเป็นตัวของตัวเองมาก เขาคือเซอร์ริชาร์ด แบรนสัน เจ้าของธุรกิจกว่า 360 บริษัท ที่ใช้ชื่อการค้า "เวอร์จิ้น" นอกจากจะเป็นนักธุรกิจแล้วเขายังชอบเขียนหนังสือและเขียนข้อความโพสต์ในโซเชียล มีเดีย หนึ่งในข้อความที่เขาเขียนเมื่อต้นปีนี้และเป็นที่กล่าวขวัญกันมากก็คือ “ถึงคนแปลกหน้า - จม. เรื่องความสุข” (Dear Stranger, Letters on the subject of happiness) ดิฉันขอแนะนำให้หาจม. ฉบับนี้มาอ่าน มันทำให้เรารู้จักตัวริชาร์ด แบรนสันที่ดูภายนอกเป็นคนชอบผจญภัยโลดโผน เปรี้ยวแซ่บ แต่ลึกๆคือคนที่เข้าใจชีวิต มีมุมมองที่เป็นจิตนิยมมากกว่าวัตถุนิยมที่ให้ความสุขแค่เพียงผิวเผิน

ข้อคิดสำคัญๆที่เขาเขียนไว้ในจม.ฉบับนี้ที่ดิฉันขอตัดตอนบางช่วงมาให้ท่านอ่านก็คือ “มันโอเคที่จะรู้สึกเครียด กลัว เศร้า แน่นอนผมผ่านเรื่องแบบนี้มาแล้วทั้งนั้น เคยรอดตายจากการผจญภัยมาหลายครั้ง เคยเห็นคนที่รักต้องจากไป ทำธุรกิจล้มเหลว อกหักหัวใจสลาย...คนส่วนใหญ่คิดว่าการที่ธุรกิจของผมประสบความสำเร็จ มีเงินทองมากมาย ทำให้ผมมีความสุข ความจริงแล้วตรงกันข้าม การที่ผมประสบความสำเร็จ ร่ำรวยและมีเพื่อนฝูงมากมายก็เพราะผมรู้สึกเป็นสุข...หลายคนพยายามทำหลายๆสิ่งโดยเชื่อว่ามันจะทำให้มีความสุข จริงๆแล้วความสุขไม่ใช่เรื่องของการทำ แต่เป็นเรื่องของการดำรงอยู่หรือการเป็นอยู่ (ภาษาอังกฤษที่ริชาร์ดใช้คือคำว่า being)  คือเป็นอยู่อย่างมีความสุข สำหรับผม การเห็นฝูงนกฟลามิงโกบินเหนือเกาะเน็คเกอร์ตอนพลบค่ำ ได้จูงมือน้อยๆของหลานผม ได้เห็นรอยยิ้มของคนแปลกหน้า ได้กลิ่นฝน ได้เห็นหิมะแรกของฤดูหนาว...มันทำให้ผมเป็นสุข จงหยุดทำ และชื่นชมดื่มด่ำกับช่วงเวลานั้นแล้วคุณจะเป็นสุขมากขึ้น นี่คือเหตุผลที่เราเป็นมนุษย์ที่มีความสามารถในการคิด เคลื่อนไหวและสื่อสาร เราสามารถให้ความร่วมมือ ตอบแทนน้ำใจคนอื่นและรักคนอื่น นี่คือสิ่งที่ทำให้มนุษย์เราแตกต่างจากสิ่งมีชีวิตอื่นๆในโลก ความสุขไม่ควรเป็นเป้าหมาย แต่ควรเป็นนิสัยของคุณ”

ได้อ่านจม. จากเซอร์ริชาร์ด แบรนสันแล้วเรามาสร้างนิสัยแห่งความสุขกันเถิดค่ะ