ตลาด ICO&Crypto วายแล้วจริงหรือ?

ตลาด ICO&Crypto วายแล้วจริงหรือ?

การที่มีนักเก็งกำไรเข้ามาในตลาดคริปโตจำนวนมากมีส่วนที่ทำให้ราคาเหรียญสวิงตัวรุนแรง

ก่อนหน้าที่ผมจะเขียนบทความนี้ ราคา Etherium (ETH) ซึ่งเป็น Altcoin (เหรียญทางเลือก) อันดับสองรองจาก Bitcoin คุณสมบัติหลักคือสามารถนำไปใช้ทำ Smart Contract แต่ถ้าจะพูดให้ง่ายคือเป็นเหรียญที่ใช้อ้างอิงในการทำ ICO ราคาในตลาดโลกร่วงลงมาอย่างต่อเนื่อง จากจุดสูงสุดที่ระดับ 1,000 เหรียญในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ร่วงลงมาต่ำสุดที่ระดับ 260 เหรียญเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา เรียกว่าตกลงกว่า 75% ตกหนักที่สุดในกลุ่มAltcoin ด้วยกัน

สาเหตุหลักที่ทำให้ราคา ETH ร่วงลงแรง มุมมองของผู้คนที่อยู่ในวงการคริปโตมองกันว่าการที่มีการระดมทุน ICO ออกมามากเกินไปในช่วงที่ผ่านมาทำให้เกิดภาวะ Oversupply ขึ้น ที่สำคัญคือการระดมทุนส่วนใหญ่จะล้มเหลวมากกว่าสำเร็จ ทำให้มูลค่าของ Etherium อ่อนค่าลงไปอย่างมากตลาด ICO ในเวลานี้จึงขาดความเชื่อมั่นของนักลงทุนไปอย่างมาก

ขณะที่มุมมองของผู้ร่วมก่อตั้ง Etherium ชื่อ Joseph Lubin ได้ออกมาให้มุมมองว่าการที่มีนักเก็งกำไรเข้ามาในตลาดคริปโตจำนวนมากมีส่วนที่ทำให้ราคาเหรียญสวิงตัวรุนแรง ประกอบกับ Etherium กำลังมีคู่แข่งที่เป็นเหรียญStellar ซึ่งมีคุณสมบัติคล้ายกันแต่ใช้ต้นทุนต่ำกว่าและทำธุรกรรมได้เร็วกว่า

หากวิเคราะห์กราฟเทคนิคต้องบอกว่าราคา ETH ยังเป็นขาลงสมบูรณ์แบบยังไม่เห็นแนวโน้มที่จะกลับมาเป็นขาขึ้นได้ คำถามที่เกิดขึ้นคือตลาดการลงทุน ICO รวมถึง Crypto Currency เข้าสู่สภาวะหมีสมบูรณ์แบบแล้วใช่ไหม? และมีโอกาสจะฟื้นแค่ไหน

จริงๆแล้วในการระดมทุน ICO ยังเกิดโปรเจคท์ใหม่ๆอย่างต่อเนื่อง แต่รูปแบบการระดมทุนได้เปลี่ยนไปจากการเน้นระดมทุนแบบ Public มาเป็นการเสนอขายแบบ Private ให้กับกลุ่มนักลงทุนรายใหญ่หรือ Hi Net Worth แทน โดยเสนอส่วนลดให้กับผู้ที่ลงทุนก้อนใหญ่สามารถทำกำไรได้ในระยะสั้น ขณะเดียวกันหากโปรเจคท์ที่ระดมทุนมีศักยภาพก็จะสามารถ Pitching กับนักลงทุนได้ไม่ยากนัก

บทสรุปคือ ตลาด ICO รวมถึง Crypto Currency ในภาพรวมยังเป็นตลาดหมี แต่การขายแบบเฉพาะเจาะจงหรือขายแบบ OTC ยังคงเดินหน้าได้ จึงเป็นการตีกรอบให้กับผู้ออกโปรเจคท์ว่าจะต้องระดมทุนอย่างมีคุณภาพเท่านั้น ในระยะยาวจะเป็นผลดีต่อตลาด ICO มากกว่า

ทั้งนี้ทิศทาง Crypto Currency จะสามารถกลับมาเป็นตลาดกระทิงได้จำเป็นต้องมีปัจจัยบวกดังนี้

ภาคธุรกิจนำมาใช้งานมากขึ้น โดยเฉพาะการยอมรับ Bitcoin หรือเงินดิจิทัลอื่นๆให้สามารถซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้ากันได้ หรือแม้แต่การสร้างเหรียญของตัวเองขึ้นเพื่อใช้งาน โดยเฉพาะบริษัทขนาดใหญ่ อย่างเช่นที่ผ่านมาแม็คโดนัลด์และสตาบัคส์ ต่างออกมากล่าวว่ากำลังสนใจที่จะใช้เทคโนโลยี Blockchain ในการชำระสินค้า ทำให้ราคา Crypto Currency ปรับตัวสูงขึ้น

สถาบันการเงินดั้งเดิมให้การยอมรับ เป็นการยืนยันว่า Crypto Currency ได้รับการยอมรับในระดับทั่วไปแล้วนั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นการนำ Blockchain มาใช้ในการทำธุรกรรมการเงิน หรือเพียงแค่ออกมากล่าวสนับสนุนก็มีส่วนทำให้ราคาปรับตัวขึ้นได้แล้ว โดยเฉพาะธนาคารขนาดใหญ่ออกมาให้ข่าวก็จะมีน้ำหนักมากขึ้น

เกิดเครื่องมือการเงินใหม่ๆ เช่นการที่ตลาดหลักทรัพย์ NASDAQ เตรียมที่จะเปิดตัวตลาดที่ซื้อขาย Crypto Currency ของตัวเอง รวมถึงเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่คนทั่วโลกจับตาก็คือกองทุน ETF ที่ลงทุนใน Crypto Currency ซึ่งจะมีส่วนช่วยผลักดันราคาได้อย่างมาก

ภาครัฐประกาศเข้ามาสนับสนุน จะเป็นการเรียกความเชื่อมั่นให้กับเทคโนโลยี Blockchain  และ Crypto Currency ได้อย่างมาก โดยเฉพาะประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่จะมีอิทธิพลต่อราคาสูงกว่าประเทศขนาดเล็ก