อย่าอ่อนใจกับมะเร็งตับอ่อน

อย่าอ่อนใจกับมะเร็งตับอ่อน

ผู้เขียนสนใจเรื่องมะเร็งตับอ่อน ตั้งแต่สตีฟ จ็อบส์ ตายเพราะโรคนี้ สงสัยว่ามันมีสาเหตุมาจากอะไร ทำไมคนรวยขนาดมีทั้งอำนาจ มีเงินซื้อยา

มีโอกาสอยู่ในโครงการทดลองยาใหม่ล่าสุด แต่ก็ไม่รอด เมื่อได้พบข้อเขียนในThe New York Time เมื่อเร็วๆ นี้ จึงขอนำมาเล่าสู่กันฟังเพราะน่าสนใจ เนื่องจากมีโอกาสเกิดกับคนบางกลุ่มมากกว่าคนอีกกลุ่มอย่างผิดสังเกต ลองมาดูกันว่าท่านอยู่ในกลุ่มเสี่ยงใด

สำหรับสถิติในสหรัฐนั้น มะเร็งตับอ่อน(pancreatic cancer) เป็นเพียง 3% ของคนที่เป็นมะเร็งทั้งหมด จึงถือได้ว่าเป็นได้ยากมาก แต่กระนั้นก็ตามนับวันมีคนอเมริกันเป็นโรคนี้กันมากขึ้นทุกที ที่น่ากลัวมากก็คือเมื่อเป็นแล้วตายเกือบทุกราย ไม่ปรากฏอาการจนโรคไปไกลกว่าจะรักษาได้ ประการสำคัญเมื่อรู้ว่าเป็นก็เหลือเวลาเป็นเดือนที่จะมีชีวิตอยู่

ลองดูสถิติในสหรัฐ ในปีนี้คาดว่าจะมีคนเป็นมะเร็งตับอ่อน 55,440 คน (ชาย 29,200 คน หญิง 26,240 คน) และตาย 44,330 คน จนเป็นอันดับ 4 ของการตายจากมะเร็ง (เรียงอันดับ คือ มะเร็งปอด ลำไส้ใหญ่ และนม) เพียง 6% ของคนที่เป็นมะเร็งตับอ่อนเท่านั้น ที่มีชีวิตรอดในช่วงเวลา 5 ปีข้างหน้า และที่รอดส่วนใหญ่เป็นพวกที่พบว่าเป็นในระยะแรกและพบโดยบังเอิญ เช่นจากการตรวจโรคหรือผ่าตัดเรื่องอื่น

ตับอ่อนมีขนาดประมาณยาว 7 นิ้ว กว้าง 1.5 นิ้ว อยู่ด้านหลังตอนบนของช่วงท้อง มีหน้าที่สำคัญ 2 อย่างคือ (1) ปล่อย enzymes เข้าไปในลำไส้เพื่อการย่อยอาหาร และ(2) ผลิตฮอร์โมน insulin และ glucagon ซึ่งควบคุมระดับน้ำตาลและกรดไขมันในร่างกาย

ปัจจัยที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งตับอ่อน ซึ่งอยู่เหนือการควบคุมก็คืออายุที่มากขึ้น มีชาติพันธุ์เป็นคนผิวดำในอเมริกา มีเชื้อชาติยิวที่มีชื่อเรียกว่าAshkenazi (ยิวทั่วไปที่กระจายอยู่ทั่วยุโรปและสหรัฐอเมริกา) และมีญาติใกล้ชิด เช่น พ่อแม่หรือพี่น้องพ่อแม่เดียวกันเป็นโรคนี้

ในเรื่องนี้คนเอเชียจึงนับว่าเป็นคนโชคดีกว่าเพราะลักษณะทางพันธุกรรม อย่างไรก็ดี เรียกว่ายังโชคดีไม่มากเพราะการสูบบุหรี่มีส่วนร่วมในการเป็นปัจจัยเสี่ยง 20-25% ในการเป็นโรคนี้(การสูบบุหรี่เป็นปัจจัยเสี่ยงที่กำลังลดลง) แต่ปัจจัยเสี่ยงตัวสำคัญที่พบของมะเร็งตับอ่อนคือความอ้วนเบาหวานชนิด 2 (ชนิด1 มักเป็นแต่ยังเป็นเด็ก ส่วนชนิด 2 เกิดขึ้นในภายหลัง) และmetabolic syndrome (กลุ่มของเงื่อนไขซึ่งได้แก่ ความดันโลหิตสูง น้ำตาลในเลือดสูง ไขมันรอบเอวเกินพอดีหรือลงพุง ระดับไขมัน cholesterol และไขมัน triglyceride สูงผิดปกติ ทั้งหมดนี้เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจและเกิดสโตรคและเบาหวาน)

มีงานวิจัยจำนวนมากที่เก็บข้อมูลขนาดใหญ่และพบว่า มีความชัดเจนของความเชื่อมโยงระหว่างมะเร็งตับอ่อนกับความอ้วนเกินพอดี (ดูค่า BMI หรือ Body Mass Index ซึ่งได้ค่ามาจากการเอาน้ำหนักเป็นกิโลกรัมตั้ง และหารด้วยความสูงเป็นเมตร ยกกำลังสอง หากค่าเกินกว่า 30 ถือว่าอ้วนเกินพอดี) ยิ่ง BMI สูงเท่าใด ก็ยิ่งมีความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งตับอ่อนมากเพียงนั้น งานวิจัยพบอีกว่า ความอ้วนเกินพอดีมีส่วนร่วมในการกระตุ้นให้เกิดมะเร็งตับอ่อน และทำให้โรคขยายตัว นักวิจัยพบอีกว่าความเสี่ยงในการเป็นโรคยิ่งมากขึ้น หากอ้วนเกินพอดีตั้งแต่อายุยังน้อยและเวลาอยู่รอดยิ่งสั้นลง สำหรับคนที่อ้วนเกินพอดีในขณะที่เป็นโรคอีกด้วย

ที่พูดมาทั้งหมดนี้ 2 ตัวที่โดดเด่นออกมาคือ ความอ้วนเกินพอดี กับโรคเบาหวานประเภท 2 (Type 2 diabetes) เบาหวานประเภท เป็นสภาวการณ์เรื้อรัง ที่ตับอ่อนไม่ผลิต insulin หรือผลิตน้อยมาก ซึ่ง insulin เป็นฮอร์โมนที่จำเป็นของร่างกายในการแปรเปลี่ยนน้ำตาลในเลือด (glucose) ซึ่งเป็นผลพวงจากอาหารที่บริโภคให้เข้าไปสู่เซลล์เพื่อผลิตพลังงาน ส่วนเบาหวานประเภท เกิดขึ้นเมื่อร่างกายของเรามีการต่อต้าน insulin (ร่างกายไม่ใช้มันอย่างที่ควรจะเป็น) ในตอนแรกร่างกายผลิต insulin ออกมามากเพื่อแปรน้ำตาลให้เข้าไปในเลือดเพื่อเข้าไปในเซลล์ แต่ในที่สุดก็ผลิต insulin ไม่ทันน้ำตาลในเลือดที่มีอยู่จึงมีน้ำตาลในเลือดหลงเหลืออยู่และเปลี่ยนเป็นปัสสาวะจนมีมดขึ้นดังที่คนไทยเรียกว่า “เบาหวาน”

ในจำนวนคนที่เป็นเบาหวานทั้งหมดนั้น 90% คือประเภท ซึ่งสาเหตุสำคัญประกอบกันคือ ความอ้วนเกินพอดี การไม่ออกกำลังกาย พันธุกรรม และพฤติกรรมในการบริโภคอาหาร ที่น่ากลัวก็คือ มันนำไปสู่ความต่อเนื่องกับการเป็นโรคอื่นๆ ด้วยเช่น หัวใจ สโตรค ไตวาย ฯลฯ

เบาหวานประเภท 1 มีสาเหตุสำคัญจากการประกอบกันของพันธุกรรม ไวรัส บางตัว สิ่งแวดล้อม ฯลฯ มักปรากฏในวัยเด็ก มีโอกาสสูงที่จะเป็นโรคหัวใจ สโตรค ไตวาย ความดันโลหิตสูง ประสาทถูกทำลาย โรคเกี่ยวกับเหงือก ฯลฯ ทั้งประเภท 1 และ 2 นั้น สามารถควบคุมให้อยู่ในขอบเขตได้ด้วยยาและการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม เช่น ออกกำลังกาย หลีกเลี่ยงอาหารบางชนิด

นักวิจัยปัจจุบันพบว่า ความอ้วนเกินพอดีเป็นปัจจัยเสี่ยงตัวสำคัญยิ่งของการเกิดเบาหวานประเภท 2 และโยงไปสู่มะเร็งตับอ่อน เมื่อร่างการต่อต้านinsulin ตับอ่อนก็ยิ่งผลิต insulin มากขึ้นๆ ซึ่งมันไปสนับสนุนการเติบโตของเซลล์ ซึ่งอธิบายความเชื่อมโยงระหว่างเบาหวานและการเกิดมะเร็งตับอ่อน อย่างไรก็ดี ความสัมพันธ์มันซับซ้อนและวงการแพทย์ก็ยังไม่เข้าใจอย่างชัดแจ้งถึงการทำงาน แต่ก็พบว่า 50-80% ของคนเป็นมะเร็งตับอ่อนเป็นโรคเบาหวานด้วย (นักวิจัยบางกลุ่มบอกว่า เบาหวานอาจเป็นทั้งสาเหตุและผลของมะเร็งตับอ่อนก็เป็นได้ ไม่เป็นที่ชัดเจนว่าอะไรเป็นสาเหตุ แต่ที่รู้แน่คือมันเชื่อมโยงกัน) ข้อมูลการศึกษาจากยุโรปของคนเป็นเบาหวานประเภท2จำนวน800,000คนพบว่าการเป็นโรคเบาหวานประเภท 2นั้นบ่อยครั้งมันเป็นสัญญาณขั้นต้นของมะเร็งตับอ่อนที่แอบซ่อนอยู่

ข้อสรุปก็คือ มะเร็งตับอ่อนไม่เกิดบ่อยนัก คนไทยมีความเสี่ยงเป็นมะเร็งตับอ่อนไม่สูงเท่าคนบางชาติ ถ้าจะให้ความเสี่ยงน้อยลง ก็จงหลีกหนีการมีน้ำตาลสูงในเลือดในระดับใกล้เป็นเบาหวานหรือเป็นเบาหวาน ซึ่งจะทำได้ก็ต้องหลีกให้ไกลความอ้วนเกินพอดี เข้าใกล้การออกกำลังกายสม่ำเสมอ กอดชิดกับการบริโภคอาหารที่เป็นประโยชน์ เช่น ผักและผลไม้ ประการสำคัญอยู่ให้ไกลอาหารและขนมหวานตลอดจนอาหารแป้งเป็นพิเศษ

ถ้าจะพูดอย่างปลงก็คือ ถึงแม้จะทำทั้งหมดดังกล่าวแล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่า จะหนีมะเร็งตับอ่อนซึ่งเป็นมะเร็งที่เกิดได้ยากไปได้เพราะ Life is random (ชีวิตคือการถูกสุ่ม) แต่อย่างน้อยก็ได้พยายามอย่างเต็มที่แล้ว