กระแสการเคลื่อนย้ายแรงงานข้ามชาติ: เข้าใจ เข้าถึงและเป็นธรรม

กระแสการเคลื่อนย้ายแรงงานข้ามชาติ: เข้าใจ เข้าถึงและเป็นธรรม

ไทยเป็นประเทศที่มีประสบการณ์เรื่องการย้ายถิ่นฐานอย่างยาวนาน มีผู้ย้ายถิ่นเข้าประเทศสุทธิ (Net Immigration Country)

ในทศวรรษ 1990 มีอัตราเพิ่มขึ้นต่อเนื่องและมีแนวโน้มมากขึ้นทุกๆ ปี ส่งผลให้ไทยมีระดับการพึ่งพาแรงงานข้ามชาติสูงขึ้น นอกจากนี้ โครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนแปลงไป ยิ่งทำให้ไทยต้องพึ่งพาแรงงานข้ามชาติมากขึ้นในอนาคต เพื่อทดแทนแรงงานไทยที่หายไปเหมือนที่เกิดขึ้นในหลายประเทศ บทความนี้จะนำเสนอภาพสถานการณ์แรงงานข้ามชาติในระดับโลกและในประเทศไทย ประสบการณ์การบริหารจัดการแรงงานข้ามชาติของประเทศที่มีผู้ย้ายถิ่นฐานไปอยู่จำนวนมาก และความ ท้าทายการจัดการแรงงานข้ามชาติของไทยในระยะข้างหน้า

1.กระแสการเคลื่อนย้ายแรงงานข้ามชาติ: New Normal ของโลก?

ในโลกยุคโลกาภิวัตน์มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และนับเป็น “Megatrend” หนึ่งในอนาคต จากรายงานของ UN ชี้ว่า ปี 2017 มีผู้ย้ายถิ่นฐานระหว่างประเทศถึง 258 ล้านคนหรือประมาณทุก 1 ใน 30 คนของประชากรโลกจะเป็นผู้ที่ย้ายถิ่นฐานระหว่างประเทศ และไทยยังติดอันดับ Top 20 ของประเทศปลายทางการย้ายถิ่น เหตุผลสำคัญมาจากปัจจัยด้านเศรษฐกิจและสังคม และความไม่มีเสถียรภาพทางการเมือง จะเห็นได้ว่าในระยะหลังประเทศต่างๆ ในโลกต่างหันมาให้ความสำคัญอย่างจริงจังในการบริหารจัดการการย้ายถิ่นระหว่างประเทศ ผลการสำรวจล่าสุดของ UN จากจำนวน 148 ประเทศ พบว่า 68% มีนโยบายเพื่อตอบสนองต่อความต้องการแรงงานในสาขาที่ขาดแคลน รองลงมา 46% เพื่อคุ้มครองโอกาสในการทำงานของคนในท้องถิ่น และ 28% เพื่อเตรียมพร้อมกับการเข้าสู่สังคมสูงวัยและการลดลงของประชากร ในแง่ผลบวก ผู้ย้ายถิ่นซึ่งส่วนใหญ่จากประเทศยากจนจะมีรายได้สูงขึ้นประมาณ 15 เท่า เทียบกับรายได้เฉลี่ยในประเทศต้นทาง และยังมีโอกาสในการเข้าเรียนต่อสูงขึ้นถึง 2 เท่า และผลต่อเศรษฐกิจประเทศต้นทางคือ สามารถแก้ปัญหาการว่างงานและการทำงานต่ำกว่าระดับ รวมถึงยังมีรายได้จากเงินส่งกลับของผู้ย้ายถิ่นด้วย

กระแสการเคลื่อนย้ายแรงงานข้ามชาติ: เข้าใจ เข้าถึงและเป็นธรรม

ในระดับภูมิภาค ASEAN จะเห็นว่าไทยถือเป็นจุดหมายปลายทางสำคัญอันดับหนึ่งของแรงงานข้ามชาติ กว่าครึ่งหรือ 54% ของการเคลื่อนย้ายแรงงานในภูมิภาค กลุ่มใหญ่สุดมาจากเมียนมา รองลงมาคือ ลาว และกัมพูชา ตามลำดับ สาเหตุมาจากปัจจัยดึงดูดของไทยไม่ว่าจะเป็นทรัพยากรที่มีอยู่มาก ความเป็นศูนย์กลางของเศรษฐกิจและการเดินทางในภูมิภาค (figure: 1.) และมีค่าแรงที่สูงกว่าประเทศเพื่อนบ้าน โดยไทยมี Daily Minimum Wage อยู่ที่ 9.31-9.98 USD เทียบกับเมียนมา 2.56 USD ลาว 3.60 USD และกัมพูชา 5.67 USD ส่งผลให้ไทยกลายเป็นประเทศในฝันของแรงงานหลายๆ ชาติที่ต่างมุ่งหวังเข้ามาแสวงหาโอกาส ปักหลักสร้างอนาคตและหาลู่ทางทำมาหากิน

2.สถานการณ์แรงงานข้ามชาติในไทย: แรงงานฐานรากสนับสนุนเศรษฐกิจไทย

กระแสการเคลื่อนย้ายแรงงานข้ามชาติ: เข้าใจ เข้าถึงและเป็นธรรม

ณ ธ.ค. 2560 แรงงานข้ามชาติที่ลงทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายมี 2.06 ล้านคน คิดเป็น 5.5% ของคนทำงานทั้งประเทศ (figure: 2.) กลุ่มใหญ่สุดคือแรงงานข้ามชาติ 3 สัญชาติ เมียนมา ลาว และกัมพูชาที่ได้รับอนุญาตทำงานตามมาตรา 59 แรงงานข้ามชาติทำงานในกลุ่มอาชีพพื้นฐานที่ใช้แรงและงานรับใช้ในบ้านถือเป็น “แรงงานฐานรากของกิจกรรมเศรษฐกิจ” คิดเป็น 44.7% ของคนทำงานกลุ่มอาชีพนี้ทั้งหมด ทำงานอยู่ทุกสาขาเศรษฐกิจและมากสุดในภาคอุตสาหกรรม 12.6% ของคนทำงานในภาคอุตสาหกรรมทั้งหมด กระจายไปในกิจการก่อสร้าง การเกษตรและกิจการต่อเนื่องการเกษตร และการให้บริการต่างๆ เป็นสำคัญ สะท้อนว่าระดับเทคโนโลยีการผลิตของไทยยังใช้แรงงานทักษะต่ำที่มีค่าจ้างราคาถูกอยู่มาก ทำให้เศรษฐกิจไทยต้องพึ่งพาแรงงานข้ามชาติ อีกทั้งแรงงานไทยเองก็เลือกงานและไม่ต้องการทำงานประเภท 3D คือ สกปรก (Dirty) อันตราย (Dangerous) และยากลำบาก (Difficult) ขณะเดียวกันไทยยังพึ่งพาแรงงานชาติกลุ่มที่มีทักษะด้วยประมาณ 10% ของคนทำงานทั้งหมด ส่วนใหญ่ทำงานเป็นผู้บริหารระดับสูง/ผู้จัดการและอาชีพด้านการสอน ช่างเทคนิคด้านต่างๆ สถาปนิกและวิศวกร ช่วยเติมเต็มช่องว่างทักษะในด้านที่ไทยยังขาดแคลน

3.นโยบายด้านแรงงานข้ามชาติถอดบทเรียนจากต่างประเทศ

ในทวีปยุโรปและอเมริกาที่เป็นประเทศปลายทางสำคัญต่างมีประสบการณ์การบริหารจัดการการย้ายถิ่นโดยรวม กรณีแรงงานข้ามชาติที่มีทักษะและมีนโยบายบูรณาการทางสังคมของแรงงานข้ามชาติ (Integration of Migrants) ที่หลากหลาย ผลสำรวจ UN (2017) ชี้ประเทศในกลุ่มอาเซียนยังคงมีข้อจำกัดการจัดการแรงงานย้ายถิ่นอยู่มากเมื่อเทียบกับประเทศพัฒนาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นกรณีกระบวนการจ้างแรงงานต่างชาติที่ใช้เวลานาน และการจำกัดสิทธิและสวัสดิการของแรงงานข้ามชาติ ส่วนกรณีของไทยเรามีความก้าวหน้าในด้านการให้ความคุ้มครองสิทธิของแรงงานข้ามชาติในระดับหนึ่ง แต่ยังไม่มีนโยบายด้านการให้ความรู้ด้านภาษาและด้านการรับรองคุณวุฒิวิชาชีพ

บทเรียนจากต่างประเทศที่ให้ความสำคัญกับนโยบายการเคลื่อนย้ายแรงงานข้ามชาติที่ไทยอาจนำมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมตามบริบทของประเทศ อาทิ 1) การจัดตั้งองค์กรบูรณาการสังคมเพื่อพัฒนาความรู้ทางภาษาและหลักสูตรแนะนำแนวทาง เช่น เครือข่าย MERIDIUM ของประเทศแถบยุโรปแถบเมดิเตอร์เรเนียน และหลักสูตรการทดสอบภาษาเยอรมัน สำหรับผู้ที่ย้ายถิ่นฐานของเยอรมนี 2) การนำโมเดลการรับรองคุณวุฒิการศึกษาและวิชาชีพของ ENIC-NARIC Network ซึ่งเป็นองค์กรปฏิรูปการศึกษาของ EU มาเป็นต้นแบบให้กลุ่มสมาชิกอาเซียนนำมาปรับใช้ เพื่อส่งเสริมการเคลื่อนย้ายของนักเรียน/นักศึกษา และแรงงานในระหว่างประเทศสมาชิก และ 3) การสร้างเครือข่าย Digital Humanitarianism Nexus เช่น ในฟินแลนด์ แคนาดา และสหรัฐ เป็นแอปพลิเคชันให้บริการแบบ One-Stop-Service เพื่อประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ย้ายถิ่น รวมถึงรับแจ้งเรื่องร้องทุกข์ตลอด 24 ชั่วโมง เป็นต้น

4.ความท้าทายแรงงานข้ามชาติ: เข้าใจ เข้าถึง และเป็นธรรม

นอกจากที่กล่าวข้างต้นแล้ว ทุกภาคส่วนควร “เข้าใจ” ถึงกระแสการเคลื่อนย้ายแรงงานข้ามชาติของโลกและของไทย และสร้างสมดุลระหว่างการพึ่งพาแรงงานข้ามชาติ กับยกระดับการใช้เทคโนโลยีของผู้ประกอบการไทยและการพัฒนาทักษะแรงงาน ทั้งไทยและแรงงานข้าม ควรวางนโยบายแรงงานข้ามชาติแบบองค์ร่วมระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งเศรษฐกิจและสังคม การศึกษา สาธารณสุข และสิทธิมนุษยชนเพื่อให้แรงงานข้ามชาติเข้าถึงสิทธิและสวัสดิการต่างๆ โดยเฉพาะสวัสดิการสุขภาพและบริการสังคมอื่นๆ อย่าง “ทั่วถึงและเป็นธรรม” รวมทั้งสร้างระบบข้อมูลเพื่อติดตามและกำหนดนโยบายที่เกี่ยวข้องในอนาคต และท้ายสุดควรสร้างจิตสำนึกของการอยู่ร่วมกัน พึ่งพากัน ก้าวข้ามพรมแดนของรัฐและวัฒนธรรมภายใต้โลกาภิวัตน์สู่โลกไร้พรมแดนอย่างแท้จริง 

ข้อคิดเห็นที่ปรากฏในบทความนี้ เป็นความเห็นของผู้เขียนซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับความเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย