ขาลงของเฟสบุ๊ค ?

ขาลงของเฟสบุ๊ค ?

ไม่มีงานเลี้ยงใดไม่เลิกรา ในที่สุดขาลงของเฟสบุ๊คก็เริ่มตกเป็นหัวข้อของการสนทนา เมื่อเฟสบุ๊คสูญเสียมูลค่าตลาด ราว $120 พันล้าน

ภายในช่วงเวลาเพียงวันเดียว ซึ่งนับเป็นการสูญเสียมูลค่าตลาดครั้งสูงสุด ที่เคยเกิดขึ้นในวันเดียว ในประวัติศาสตร์ของตลาดหุ้นของสหรัฐ เมื่อราคาหุ้นของเฟสบุ๊คได้ตกลงถึง 19% 

ทั้งนี้ นักลงทุนได้กังวล ในจำนวนของผู้ใช้งานเฟสบุ๊ค ที่ไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างเป็นประวัติการณ์อีกต่อไป และในบางตลาดที่มีมูลค่าสูง เช่น สหรัฐและแคนาดา จำนวนของผู้ใช้งานเฟสบุ๊คได้ถึงขั้นอิ่มตัว และไม่สามารถขยายฐานได้อีกต่อไป

อย่างไรก็ตาม ทั้งรายได้และจำนวนของผู้ใช้งานเฟสบุ๊คก็ยังเพิ่มขึ้่นอย่างต่อเนื่อง เพียงแต่มีอัตราการเติบโตที่มิได้สูงตามความคาดหมายของนักลงทุนจึงมาสู่การสูญเสียมูลค่าตลาดครั้งประวัติศาสตร์ของสหรัฐ

แม้ขาลงของเฟสบุ๊คจะยังมาไม่ถึง แต่เหตุการณ์ในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นว่าอนาคตของเฟสบุ๊คไม่ได้เป็นสิ่งที่ง่ายดายอีกต่อไป โดยเฉพาะในสายตาของนักลงทุน ที่คาดหวังอัตราการเติบโตของธุรกิจที่สูง สำหรับหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีที่มีความเสี่ยงสูง

เรื่องราวของเฟสบุ๊ค เป็นเรื่องราวของธุรกิจสตาร์ทอัพที่ประสบความสำเร็จ มีอัตราเติบโตของธุรกิจที่สูง เป็นเวลากว่าทศวรรษที่ผ่านมา และกระทั่งเข้าสู่จุดอิ่มตัวในที่สุด แต่ราคาของหุ้น เกิดจากความคาดหวังของนักลงทุนที่ว่า เฟสบุ๊คจะมีอัตราการเติบโตของธุรกิจที่สูงต่อไปเรื่อยๆ และไม่มีการเข้าสู่จุดอิ่มตัว

การเข้าสู่จุดอิ่มตัว ย่อมไม่ได้หมายความว่า ธุรกิจสตาร์ทอัพเป็นสิ่งที่ไม่ดีหรือไม่ควรสนับสนุนให้เกิดขึ้น เพราะกว่าจะได้มาถึงวันนี้ ผู้ก่อตั้งยุคแรกของเฟสบุ๊ค ซึ่งหมายถึง มาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก และพวก และรวมไปถึงนักลงทุนยุคแรกของเฟสบุ๊ค ต่างก็ได้กำไรนับพันนับหมื่นล้านดอลลาร์ จากการลงทุนทั้งกำลังสมอง เวลา และกำลังทรัพย์ลงในเฟสบุ๊คในยุคก่อตั้ง เพียงสำหรับแต่นักลงทุนในยุคหลัง ที่เพิ่งจะเข้ามาลงทุนในเฟสบุ๊คเมื่อเข้าสู่จุดอิ่มตัวแล้ว โอกาสที่จะได้กำไรย่อมมีน้อยกว่าเมื่อหลายกีปีก่อนหน้า

และในครั้งนี้ ก็มิใช่ขาลงของสื่อโซเชียลมีเดีย เพราะอย่างที่ได้กล่าวเอาไว้ผู้ใช้งานเฟสบุ๊คก็ยังเพิ่มขึ้่นอย่างต่อเนื่อง ทั้งในปัจจุบัน ก็ยังไม่มีเทคโนโลยีหรือสื่ออื่นที่จะสามารถเข้ามาทดแทนโซเชียลมีเดีย ที่รวมไปถึงเฟสบุ๊คได้ โดยโซเชียลมีเดีย ยังคงไร้ซึ่งคู่แข่ง ที่สามารถคาดการณ์ถึงได้ในยุคปัจจุบัน

ทั้งนี้ แตกต่างกับขาลงของสื่อกระแสหลักในยุคที่แล้ว เช่น​ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ แมกกาซีน หรือ วิทยุ ที่ได้เห็นการเติบโตของสื่อที่มาจากอินเทอร์เน็ต ประจวบกับเทคโนโลยีสมาร์ทโฟน ที่ได้ถูกพัฒนามาเพื่อแทนที่ ได้อย่างยาวไกล และสามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้เป็นทศวรรษ

ขาลงในครั้งนี้ จึงหมายถึงราคาหุ้นเสียมากกว่า และเป็นสัญญาณที่บ่งชี้ให้ นักลงทุนต้องไปสรรหาธุรกิจสตาร์ทอัพดาวรุ่งดวงใหม่ เพื่อเลือกลงทุนทดแทนธุรกิจที่เข้าสู่จุดอิ่มตัว

และไม่มีผล สำหรับผู้ที่ใช้งาน ผู้ผลิตเนื้อหา และผู้โฆษณา ที่ใช้เฟสบุ๊คเป็นช่องทางหลักมาหลายปีแล้ว เพราะยังไม่มีทางเลือกอื่น ที่จะมาแทนที่เฟสบุ๊คได้ในปัจจุบัน

อย่างไรก็ดี ปัญหาของเฟสบุ๊ค ที่มีเหมือนกันทั้งโลก คือการรั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคล แม้กรณีนี้จะไม่ได้รับความสนใจสำหรับคนไทย และการแพร่กระจายของข่าวปลอม ซึ่งก็เป็นปัญหาในประเทศไทยเฟสบุ๊ค ได้ประกาศจะจ้างบุคลากรอีกหลายหมื่นคน เพื่อมาแก้ไขปัญหาดังกล่าว

แต่ถึงกระนั้น ตราบเท่าที่ยังไม่มีคู่แข่ง ก็ไม่มีอะไรเป็นข้อยืนยันว่าเฟสบุ๊คจะจริงจังในการแก้ปัญหา และชาวโลก ก็คงต้องอยู่กับเฟสบุ๊ค ในฐานะสื่อกระแสหลักที่ทรงอิทธิพล ไม่ต่างกับโทรทัศน์ที่เคยมีอานุภาพเช่นนี้มานานนับทศวรรษ