Fortune 500 บอกอะไรจีน?

Fortune 500 บอกอะไรจีน?

เมื่อต้นเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา นิตยสาร Fortune ได้ประกาศรายชื่อบริษัทชั้นนำของโลก 500 แห่ง หรือที่รู้จักกันในชื่อ “Fortune 500 Companies”

 โดยการจัดอันดับบริษัทของ Fortune ใช้เกณฑ์รายได้ของบริษัท และนับว่าเป็นการจัดอันดับที่ได้รับการยอมรับทั่วไปในวงธุรกิจโลก

ในการจัดอันดับครั้งนี้ มีบริษัทจากจีนแผ่นดินใหญ่ที่ติดอันดับรวม 111 บริษัท เรียกได้ว่าติดอันดับมากที่สุดเท่าที่เคยมีการจัดอันดับมา

เมื่อดูจากรายชื่อบริษัทจีนที่ติดอันดับ Fortune 500 พบว่ามีข้อสังเกตที่น่าสนใจ 4 ข้อ ครับ

1.จีนมีธุรกิจขนาดใหญ่และมีบทบาทในระดับโลกเพิ่มขึ้นจากเดิมมาก หากย้อนดูเมื่อ 10 ปี ที่แล้ว มีบริษัทจีนเพียง 37 บริษัทเท่านั้นเองครับ ที่ติดอันดับ Fortune 500 แต่มาปีล่าสุดนี้มีถึง 111 บริษัท

จีนเป็นรองก็แต่สหรัฐฯ เท่านั้น สหรัฐฯ มีจำนวนบริษัทที่ติดอันดับถึง 126 บริษัท ส่วนญี่ปุ่น ซึ่งมาเป็นอันดับ 3 มีจำนวนบริษัทติดอันดับ 52 บริษัท

ถ้าใครสงสัยว่า มีบริษัทไทยติดอันดับด้วยหรือไม่ คำตอบคือ มี 1 บริษัทครับ นั่นคือ ปตท. ซึ่งอยู่ในลำดับ 163 ใน Fortune 500

2.ในบรรดาบริษัทจีนที่ติดอันดับใน Fortune 500 มี 3 บริษัท ที่เป็นธุรกิจใหม่ในยุคออนไลน์ ได้แก่ JD.COM, Alibaba และ Tencent

มีเพียงจีนและสหรัฐฯ 2 ประเทศเท่านั้น ที่มีธุรกิจยุคออนไลน์ขนาดใหญ่ติดอันดับ Fortune 500 โดยในฝั่งของสหรัฐฯ ได้แก่ Amazon, Alphabet และ Facebook

3.จากข้อมูลของ Fortune 500 สะท้อนว่า โครงสร้างภาคการผลิตของจีนกับสหรัฐฯ มีความแตกต่างกันอยู่ไม่น้อย

ความเหมือนกันของทั้ง 2 ประเทศ ก็คือ มีธุรกิจในกลุ่มพลังงานและทรัพยากรธรรมชาติ ธุรกิจการค้า ธุรกิจเทคโนโลยีสารสนเทศ กลุ่มธนาคาร ประกันภัย สายการบิน และอุตสาหกรรมทหาร ติดอันดับ Fortune 500

ส่วนความแตกต่างอย่างชัดเจนคือ บริษัทจีนอื่นๆ ที่ติดอันดับมักเป็นธุรกิจในภาคอุตสาหกรรม โดยมีบริษัทจีนที่ติดอันดับ Fortune 500 อยู่ในภาคอุตสาหกรรมโลหะจำนวน 9 แห่ง ภาคอุตสาหกรรมก่อสร้าง 7 แห่ง อุตสาหกรรมรถยนต์ 7 แห่ง และภาคอสังหาริมทรัพย์ 5 แห่ง เมื่อเปรียบเทียบแล้ว บริษัทสหรัฐฯ ที่ติดอันดับFortune 500 กลับไม่มีบริษัทอสังหาริมทรัพย์ บริษัทก่อสร้าง และบริษัทในอุตสาหกรรมโลหะเลย ส่วนบริษัทรถยนต์ก็มีเพียง 2 แห่งเท่านั้น แต่ในภาคบริการ เช่น ธุรกิจที่เกี่ยวกับสุขภาพ ยาและผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ธุรกิจบันเทิงและภาพยนตร์ มีบริษัทสหรัฐฯ ในภาคบริการเหล่านี้ติดอันดับจำนวนถึง 26 บริษัท แต่แทบจะไม่มีบริษัทจีนในภาคบริการเหล่านี้ติดอันดับเลย

ดังนั้น จึงสรุปได้ว่า สหรัฐฯ มีลักษณะเป็นประเทศหลังยุคอุตสาหกรรม (post-industrial economy) ขณะที่จีนยังเป็นประเทศอุตสาหกรรมอยู่ ธุรกิจขนาดใหญ่ในภาคบริการยังมีน้อย

4.จากข้อมูลของFortune 500 จะพบว่า ธนาคารขนาดใหญ่ของจีนทำกำไรได้สูงมากธนาคารจีนติดอันดับใน Fortune 500 ถึง 10 แห่ง โดยมีกำไรเฉลี่ยสูงถึง 17,900 ล้านดอลล่าร์ สัดส่วนกำไรของธนาคารจีนคิดเป็น 50.7% ของกำไรของบริษัทจีนที่ติดอันดับ Fortune 500 ทั้งหมด เมื่อเปรียบเทียบกับธนาคารของสหรัฐฯ ซึ่งติดอันดับจำนวน 8 แห่ง จะพบว่าธนาคารของสหรัฐฯ มีกำไรเฉลี่ยเพียง 9,600 ล้านดอลล่าร์ และสัดส่วนกำไรของธนาคารสหรัฐฯ คิดเป็นเพียง 11.7% ของกำไรของบริษัทสหรัฐฯ ที่ติดอันดับ Fortune 500 ทั้งหมด

ธนาคารของจีนที่เป็นรัฐวิสาหกิจจำนวน 4 แห่ง คือ Bank of China, Agricultural Bank of China, Industrial and Commercial Bank of China (ICBC), China Construction Bank ยังติดอันดับรายชื่อ 10 บริษัทใน Fortune 500 ที่ทำกำไรสูงที่สุดในโลก

นักวิเคราะห์มองว่า ธนาคารจีนทำกำไรได้สูงมากในปีนี้ เป็นผลมาจากนโยบายเศรษฐกิจของสี จิ้นผิง ที่เน้นการแก้ไขปัญหาการผลิตส่วนเกิน(overcapacity) ในภาคอุตสาหกรรม รวมทั้งการปรับโครงสร้างหนี้เสียในระบบ ทำให้ธุรกิจขนาดใหญ่ในจีนเริ่มกลับมาทำกำไร และเศรษฐกิจจีนเริ่มกลับมาเติบโตอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ธนาคารจีนได้รับชำระเงินกู้ที่คั่งค้างมากขึ้น รวมทั้งสามารถปล่อยเงินกู้ได้มากขึ้นด้วย

นักวิเคราะห์บางส่วนยังมองว่า นโยบายป้องกันความเสี่ยงในระบบการเงินและควบคุมหนี้เสียของทีมเศรษฐกิจจีน ทำให้ธนาคารขนาดกลางและเล็กของจีนลดการปล่อยเงินกู้ลง แต่เป็นประโยชน์กับธนาคารขนาดใหญ่ที่มีพื้นฐานทางการเงินที่มั่นคง ทำให้ธนาคารขนาดใหญ่สามารถปล่อยเงินกู้ได้โดยปราศจากคู่แข่งจากธนาคารขนาดกลางและเล็ก

จะเห็นได้ว่า ระบบธนาคารและภาคการเงินของจีนปัจจุบันมีขนาดใหญ่โตมโหฬาร จึงไม่แปลกที่รัฐบาลจีนจะให้ความสำคัญกับปัญหาความเสี่ยงในระบบการเงิน ดังที่รัฐบาลจีนมักกล่าวเสมอว่า ภารกิจเร่งด่วนในช่วงปัจจุบันถึงปี 2020 นอกจากจะเน้นการชนะสงครามความยากจน ยังต้องชนะสงครามความเสี่ยงในระบบการเงิน ป้องกันไม่ให้มีชนวนที่อาจลุกลามเป็นวิกฤติการเงินได้

Fortune 500 นับเป็นมาตรวัดพลังอำนาจทางเศรษฐกิจอย่างหนึ่งครับ ภายในเวลา 10 ปี จำนวนธุรกิจของจีนแผ่นดินใหญ่ที่ติดอันดับ Fortune 500 เพิ่มขึ้นถึง 3 เท่าตัว ดังนั้นอย่าแปลกใจไปหากในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า นอกจากเศรษฐกิจจีนจะมีขนาดแซงหน้าสหรัฐฯแล้ว จำนวนบริษัทจีนที่อยู่ใน Fortune 500 ก็คงจะแซงหน้าจำนวนบริษัทของสหรัฐฯ ด้วยเช่นกัน