สังคมป่วย ประเด็นเลือกตั้งที่ไม่ควรมองข้าม

สังคมป่วย ประเด็นเลือกตั้งที่ไม่ควรมองข้าม

ว่ากันว่า โลกสังคมออนไลน์เป็นกระจกส่องอาการป่วยของสังคมได้ระดับหนึ่ง ความเกรียนของนักเลงคีย์บอร์ด

ช่วงที่มีปฏิบัติการช่วยเหลือทีมหมูป่าทั้ง 13 คน ที่มาพร้อมกับการแชร์ แม้ยังไม่ชัวร์ซึ่งมีมากไม่แพ้กัน เป็นภาพสะท้อนให้เห็นว่า ขณะที่เรากำลังเดินหน้าไปสู่การเลือกตั้ง ก็ยังมีคนไทยจำนวนหนึ่งที่มุ่งมั่นจะเผยแพร่ความเกลียดชังผ่านโลกออนไลน์ และก็ยังมีคนไทยอีกจำนวนหนึ่งที่ยังขาดภูมิคุ้มการเสพข่าวลวง ขนาดเรื่องช่วยชีวิตคนยังเอามาปั่นกันได้ขนาดนี้ ไม่อยากจะคิดเลยว่า ช่วงหาเสียงเลือกตั้ง โลกออนไลน์จะเดือดกันขนาดไหน

อาการป่วยออนไลน์ สะท้อนให้เห็นถึงความเจ็บป่วยที่ซ่อนอยู่ของสังคม เมื่อไหร่ก็ตามที่มีปัญหาสังคมเกิดขึ้น การพัฒนาเศรษฐกิจมักตกเป็นจำเลยอันดับแรก เพราะเชื่อกันว่า การพัฒนาเศรษฐกิจทำให้มีการแข่งขันกันมากขึ้น ต่างคนต่างก็สนใจแต่เรื่องของตนเองเป็นหลัก สังคมที่เคยอยู่กันอย่างอบอุ่นเปลี่ยนสภาพไปเป็นสนามรบย่อยๆ ความมีน้ำจิตน้ำใจหายไป เงินกลายเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง ความเครียดกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน คนจึงเลือกที่จะเอาความเกลียดชัง ความเจ็บปวด มาระบายลงในโลกออนไลน์

มิหนำซ้ำ ที่ผ่านมา นักการเมือง ข้าราชการ และประชาชนอย่างพวกเราเอง ก็ให้ความสำคัญกับปัญหาสังคมน้อยกว่าปัญหาทางเศรษฐกิจ เนื่องจากปัญหาสังคมไม่ใช่ปัญหาสำคัญทางการเมือง การแก้ปัญหาวัยรุ่นตีกันตายไม่ส่งผลต่อความนิยมเหมือนการแก้ปัญหาดุลการค้า ปัญหานักเรียนขายตัวไม่สำคัญเท่าการกระตุ้นจีดีพี ปัญหาครอบครัวแตกแยกไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนเหมือนกับการเจรจาเอฟทีเอ การจับรถซิ่งอาจไม่ได้ช่วยให้ก้าวหน้าในอาชีพเหมือนการสืบคดีทางการเมือง การช่วยเหลือชุมชนไม่สำคัญเท่ากับการรีบกลับไปดูละครที่บ้าน การใช้สิทธิทางการเมืองเพื่อควบคุมพฤติกรรมนักการเมืองสำคัญน้อยกว่าการไปเดินเล่นในห้างสรรพสินค้า เมื่อสมาชิกของสังคมมีความคิดเช่นนี้ ก็เท่ากับปล่อยให้สังคมเปลี่ยนแปลงไปตามบุญตามกรรม พอมีข่าวขึ้นมาก็หันหน้ามาคุยกันพอเป็นพิธีแล้วก็ปล่อยให้ผ่านไป

สาเหตุที่ปัญหาทางสังคมได้รับความสนใจน้อยกว่าปัญหาทางเศรษฐกิจอาจเป็นเพราะปัญหาเศรษฐกิจมีผู้รับผิดชอบที่ชัดเจน ปัญหาสังคมไม่มีใครเป็นเจ้าภาพ ต่างคนต่างก็ทำหน้าที่ของตนเองโดยไม่ได้ประสานงานกัน ทั้งในภาพรวมและในระดับชุมชน

โดยธรรมชาติแล้ว ปัญหาทางสังคมไม่ได้เกิดขึ้นชั่วข้ามคืน แต่มีการก่อตัวขึ้นอย่างเป็นขั้นเป็นตอน และใช้เวลานานกว่าจะปรากฏออกมาอย่างชัดเจน อาการป่วยทางสังคมที่แสดงออกมา จึงไม่ได้เกิดขึ้นมาเพียงสองสามอย่างเหมือนอาการป่วยทางเศรษฐกิจ เลยระบุที่มาได้ยาก พอไม่รู้จะเริ่มกันตรงไหน การแก้ปัญหาจึงเป็นการแก้ปัญหาแบบแยกส่วน เน้นเฉพาะการแก้ปัญหาระยะสั้น แบบผักชีโรยหน้า

เมื่อใดที่ปัญหาทางเศรษฐกิจและปัญหาทางสังคมเกิดขึ้นพร้อมกัน การแก้ปัญหาทางสังคมมักกลายเป็นประเด็นรองเสมอ ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว สังคมคือรากฐานที่สำคัญของเศรษฐกิจ เศรษฐกิจที่ตั้งอยู่บนฐานทางสังคมที่ง่อนแง่นอาจจะเติบโตต่อไปได้ แต่การเติบโตแบบนี้มีความเสี่ยงสูงมาก หากเกิดปัญหาทางเศรษฐกิจขึ้นโดยไม่มีโครงสร้างทางสังคมที่เข้มแข็งมาเป็นเบาะรองรับ ความเสียหายที่เกิดขึ้นจะรุนแรง ดีไม่ดี ความเสียหายที่ตามมา อาจจะมากกว่าประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่เสียด้วยซ้ำ

ในทางตรงกันข้าม หากสังคมเข้มแข็ง ต่อให้รายได้ต่อหัวไม่สูงที่สุดในโลก เศรษฐกิจไม่ได้โต 8% เศรษฐกิจของประเทศก็ยังมีความมั่นคง คนในประเทศอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขมากกว่าเดิม เมื่อประสบปัญหาทางสังคม เศรษฐกิจ หรือการเมือง ก็ยังอุ่นใจได้ว่า อย่างไรเสีย ปัญหาคงไม่บานปลายจนยากเกินกว่าการควบคุม

หากมองในแง่การเมืองแล้ว ปัญหาสังคมไม่ใช้สินค้าหลักของนักการเมืองที่มาเสนอขายให้กับประชาชนเหมือนกับปัญหาทางเศรษฐกิจและการเมือง

เชื่อขนมกินได้เลยว่า การเลือกตั้งครั้งหน้า นโยบายของแทบทุกพรรคคงออกมาแนวเดียวกัน เป็นสูตรสำเร็จเกี่ยวกับการสร้างความสมดุลระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจและความผาสุกของสังคม อาจแตกต่างกันบ้างก็ในรายละเอียดปลีกย่อย

ถ้าถูกนักข่าวถามเกี่ยวกับนโยบายทางเศรษฐกิจ ไม่ว่าผู้สมัครคนไหนก็ตอบได้เป็นฉากๆ แต่พอพูดถึงนโยบายทางสังคม เราจะได้ยินคำตอบเป็นสูตรสำเร็จ “ให้โอกาส” “ช่วยคนแก่คนจน” “ให้การศึกษา” เป็นต้น แต่ไม่ค่อยบอกว่าจะแก้ปัญหาที่ยกมาอย่างไร และแทบจะตอบไม่ได้เลยว่าเหตุใดปัญหาทางสังคมเหล่านี้ถึงเป็นเรื่องสำคัญในเมื่อบ้านเมืองเรามีปัญหาทางสังคมตั้งมากมาย

ขนาดกรอบของนโยบายยังไม่สมดุล แล้วคาดหวังว่าจะสร้างความสมดุลระหว่างเศรษฐกิจและสังคมให้เกิดขึ้นจริงๆ ได้อย่างไร?

ถึงเวลาแล้วที่เราต้องแสดงออกให้นักการเมืองรู้ว่า ปัญหาสังคมคือสินค้าทางการเมืองที่สำคัญ และมีผลต่อการตัดสินใจว่าเราจะเลือกหรือไม่เลือกใคร ส่วนตัวของพวกเราเองก็ต้องคอยดูแลกัน ไม่ปล่อยให้ความเกลียดชังที่เพ่นพ่านอยู่ในโลกออนไลน์ระบาดออกมาในโลกจริง เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น รอยร้าวทางสังคมที่เกิดขึ้น อาจรุนแรงมากจนเกินกำลังจะเยียวยา