อสังหาฯ “ขายชาติ”

อสังหาฯ “ขายชาติ”

ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มีส่วนช่วยในการ “ขายชาติ” ได้อย่างไรบ้าง เราจะ “กู้ชาติ” ที่กำลังจะถูกขายได้อย่างไร เพื่อลูกหลานไทยในวันหน้า

ปรากฏการณ์ “ขายชาติ” มีให้เราเห็นในวงการอสังหาริมทรัพย์ เราสังเกตได้ว่าแถวเกาะท่องเที่ยวของไทย มีบ้านพักและห้องชุดของฝรั่งและต่างชาติอื่นมากมาย พวกนี้ไม่ได้มาซื้อทรัพย์สินในประเทศไทยอย่างถูกต้องตามกฎหมาย มีเพียงส่วนน้อยที่ซื้อถูกต้อง แต่เราก็ผ่านเลยไป ถามว่าถ้าเราไปซื้อบ้านและที่ดินในสหรัฐอเมริกาแบบไม่ถูกต้อง เราจะทำได้ไหม คำตอบชัดๆ ก็คือไม่ได้ อย่าว่าแต่ประเทศตะวันตกเลย เราไปซื้อบ้านและห้องชุดในมาเลเซีย สิงคโปร์แบบผิดกฎหมายก็ยังไม่ได้ แต่บ้านเราทำได้ แปลกไหมครับ เรากำลัง “ขายชาติ” ใช่ไหม

นายหน้าขายทรัพย์ให้ต่างชาติบางราย ก็ทำสัญญาเช่ากับต่างชาติโดยทำสัญญาขึ้น 3 ฉบับๆ ละ 30 ปี รวม 90 ปี ต่างชาติก็ดีใจ อย่างนี้ “ขายชาติ” ชัดๆ ยิ่งกว่านั้น ยังถือเป็นการหลอกลวงฉ้อฉลเขาด้วย เพราะปกติเราสามารถเช่าที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ได้ 30 ปี โดยในโฉนดจะระบุไว้ชัดว่าใครเช่าไป แต่สำหรับอีก 30 ปี และอีก 30 ปีหลังนั้น สัญญาดังกล่าวถือเป็นโมฆะ เพราะไม่มีกฎหมายรองรับ กฎหมายไทยระบุชัดว่า การจะทำสัญญาเช่าในระยะใหม่ ต้องให้หมดสัญญาไปก่อนทั้งนี้ยกเว้นในเขต EEC ที่ “โมเม” ปล่อยให้มีการทำสัญญาเช่าได้ 2 สัญญาโดยไม่จำเป็นต้องหมดสัญญาเดิมก่อน (https://bit.ly/2IKJxy5)

ที่ผ่านมามีข่าวว่า “เบคแฮม” ปฏิเสธว่ามีบ้านพักอยู่ที่เกาะสมุย แต่เมื่อปี 2550 ก็มีข่าวว่า ““นายกสมาคมส่งเสริมการท่องเที่ยวเกาะสมุย” ยัน “เดวิด เบ็คแฮม” นักฟุตบอลชื่อดังชาวอังกฤษพร้อมครอบครัว. . .เข้าพักในคฤหาสน์หรูส่วนตัวราคา 200 ล้านบาท บนเนื้อที่กว่า 7 ไร่ ตั้งอยู่บนเนินเขาแหลมหอยบ้านใต้ ต.แม่น้ำ อ.เกาะสมุย เป็นจุดที่มองเห็นวิวทะเลสวยงามที่สุดของเกาะ” (http://bit.ly/2uI3L0P)

นอกจากนี้ยังมีข่าว “เบ็คแฮม สร้างบ้าน 300 ล้าน ที่สมุย โดยในเนื้อข่าวระบุว่า "เขาได้ซุ่มเงียบซื้ออสังหาริมทรัพย์ ที่ดินแปลงงาม ย่านบ้านใต้ ขนาด 20 ไร่ ดูโลเกชั่นแล้วเหมือนซื้อเขายกลูกติดริมทะเล และยังมีชายหาดส่วนตัวที่สวยงามมาก ซึ่งที่ดินแปลงนี้ เขากว้านซื้อมาตั้งแต่สมัยที่เขาเป็นนักเตะ "สโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด". . .ที่ดินแปลงนี้มีนายหน้า เป็นชาวต่างชาติเป็นคนขายให้ โดยราคาประมาณการอยู่ที่ 300 ล้าน ซึ่งนักค้าที่ดินสมุยทราบกันดี ซึ่งเขาฟันกําไรไปเหนาะๆ 100 กว่าล้าน

ปรากฏการณ์แบบนี้ ชี้ให้เห็นว่า การซื้อขายแบบนี้คงมีข้าราชการมีส่วนร่วมรู้เห็นเป็นใจ การซื้อขายอาจซื้อในรูปของหุ้นบริษัท ทำให้เกิดผลร้ายตรงที่ว่า รัฐก็ไม่ได้แม้กระทั่งภาษีและค่าธรรมเนียมโอนอะไรต่าง ๆ เราไปประเทศอื่น ทำอย่างนี้ได้หรือ เมื่อปีที่แล้ว ผมไปมาเลเซีย บริษัทประเมินของมาเลเซีย ยังให้ผมดูว่าบ้าน “เบคแฮม” หลังดังกล่าวนั้น กำลังจะประกาศขายต่อให้คนอื่น ซึ่งก็ไม่รู้ว่าขายไปกี่มือแล้ว

สำหรับคนจีนที่มาไทย ก็มีมาเป็นระยะๆ คนจีนหรืออาจรวมชาติอื่นอีกหลายชาติ ชอบที่จะสวมบัตรประชาชนคนไทย โดยไปหาชื่อคนตายตามต่างจังหวัด แล้วสวมรอยเป็นคนไทยไปเลย คนพวกนี้สามารถซื้ออสังหาริมทรัพย์ได้ง่ายๆ สบายๆ ลูกหลานเกิดมาใหม่ก็เป็นคนไทย 100% ไปโดยปริยาย เราเห็นคนจีนจากแผ่นดินใหญ่มาหากินอยู่แถวเยาวราช สำเพ็ง กันมานานแล้ว และทะยอยกันมาอย่างต่อเนื่อง ไม่เฉพาะคนจีน ยังรวมถึงคนชาติอื่นๆ ด้วย ถ้าข้าราชการไทยไม่ “ขายชาติ” เขาจะมาได้หรือ

ลองนึกง่ายๆ ว่าถ้าเราไปอยู่กรุงปักกิ่ง ยามว่างเรานึกอยากสนุก ตั้งแผงขายของจากประเทศไทยย่านชุมนุมชนต่าง ๆ หรือเปิดร้านอาหารขายอาหารไทย เราต้องมีใบอนุญาตใช่ไหม ร้านก็ต้องมีใบอนุญาตใช่ไหม สินค้าหรือบริการที่จะขายก็ต้องได้รับการตรวจสอบหรือได้ใบอนุญาตใช่ไหม แต่พวกเขา ไม่ว่าจะจีน แขกหรือหลายต่อหลายชาติ มาทำมาหากินในแผ่นดินไทยโดยไม่ต้องได้ใบอนุญาตอะไรเท่าไหร่ หรืออาจ “ซื้อเอา” ได้หรือไม่ก็ไม่ทราบ อย่างนี้ทำให้คนไทยยิ่งจนลงหรือไม่ พวกต่างชาติมาช่วยเหลือหรือช่วยเถือประเทศชาติ

ใน พ.ร.บ.อีอีซี ระบุชัดว่า มาตรา 59 . . .(1) ในกรณีที่การประกอบวิชาชีพใดมีกฎหมายกําหนดให้ผู้ประกอบวิชาชีพหรือผู้ขออนุญาตต้องมีสัญชาติไทยหรือต้องได้รับใบอนุญาต จดทะเบียน หรือรับรองก่อนการประกอบวิชาชีพตามกฎหมายแล้ว คณะกรรมการนโยบายอาจประกาศให้ผู้ซึ่งได้รับใบอนุญาต จดทะเบียน หรือรับรองให้ประกอบวิชาชีพนั้นในประเทศที่คณะกรรมการนโยบายกําหนด สามารถประกอบวิชาชีพนั้นเพื่อกิจการในเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษได้. . .” (https://bit.ly/2IKJxy5) นี่แสดงว่าเราจะไม่ยกระดับนักวิชาชีพไทย และให้นักวิชาชีพต่างชาติมาเอาเปรียบนักวิชาชีพไทย นี่เรากำลัง “ขายชาติ” หรือเปล่า

สำหรับสิงคโปร์และมาเลเซีย คนจะมาทำอาชีพนายหน้า จะต้องมีใบอนุญาตที่สอบโดยคณะกรรมการควบคุมวิชาชีพในประเทศเท่านั้น ถ้านายหน้าไทยขืนทะเล่อทะล่าไปขายทรัพย์ รับเงินมัดจำตามห้างสรรพสินค้าหรือศูนย์ประชุมแสดงสินค้าในประเทศของเขา และตำรวจเห็นเข้า มีโอกาสเข้าคุกได้ง่ายๆ เพราะเขาคุ้มครองนักวิชาชีพ แต่เขาองไทยเราไม่ทำ แถมยังปล่อยผีให้มา “ปล้นชาติ” ใช่หรือไม่

เรามาดูกันว่าต่างประเทศเขาปกป้องชาติและประชาชนจากการครองงำอสังหาริมทรัพย์กันอย่างไรบ้าง

  1. ออสเตรเลีย: ต่างชาติมาซื้อบ้านได้ แต่ต้องเป็นบ้านมือหนึ่งในโครงการจัดสรรเท่านั้น ไม่สามารถซื้อบ้านมือสองได้ เพื่อไม่ให้ราคาขึ้นกระฉูดจนกระทบต่อกำลังซื้อในประเทศ
  2. มาเลเซีย: อนุญาตให้ต่างชาติซื้อบ้านได้ในราคาตั้งแต่ 2 ล้านริงกิต (17 ล้านบาท) ขึ้นไปเท่านั้น ต่ำกว่านี้ห้ามซื้อ
  3. สิงคโปร์: ต่างชาติสามารถมาซื้ออสังหาริมทรัพย์ได้ แต่ต้องเสียภาษี 15% (คนสิงคโปร์ไม่ต้องเสีย) เพื่อเป็นการดักทางการเก็งกำไร . . . แต่ไทยเราให้ซื้อได้โดยไม่เสียภาษี โดยเฉพาะในเขต EEC สบายกว่าคนไทยอีก อย่างนี้ “ขายชาติ” ไหม
  4. ฮ่องกง: หนักกว่าสิงคโปร์เสียอีก โดยให้ต่างชาติต้องเสียภาษีถึง 30% เลย อย่างนี้เขาเห็นแก่ชาติและประชาชนในท้องถิ่นใช่หรือไม่

  ไทยจะเป็นมณฑลใหม่ของจีนหรือไม่ ก็ต้องคอยดูกัน คนจีนยุคใหม่ที่มาไทย ไม่ใช่พวก เสื่อผืนหมอนใบที่มาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร แต่น่าจะมายึดแผ่นดินไทยมากกว่าหรือไม่