อย่าเถียงกันเรื่องน้ำมันแพงเรามาถึงยุคไม่ต้องใช้น้ำมันแล้ว

อย่าเถียงกันเรื่องน้ำมันแพงเรามาถึงยุคไม่ต้องใช้น้ำมันแล้ว

การถกเถียงกันเรื่องราคาของน้ำมัน ถึงแม้จะเปี่ยมไปด้วยพลังจากกระแสต่างๆ ของสังคมไทย แต่ส่วนใหญ่แล้วก็เป็นการศึกษาเฉพาะสถานการณ์ในระยะสั้น

โดยมิได้คำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่ ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้

กรณีของน้ำมัน เช่นเดียวกับกรณีของพลังงาน กำลังจะเข้าสู่ยุคของดิสรัปชั่น เมื่อจะต้องมีสิ่งอื่น ที่ทั้งดีกว่าและถูกกว่า ที่กำลังจะเข้ามาแทนที่น้ำมันและพลังงานในรูปแบบเดิม ที่มนุษยชาติล้วนมีความคุ้นเคยกันมาเกือบ 3 ศตวรรษ จนกระทั่งได้กลายมาเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของโครงสร้างในระบบเศรษฐกิจและสังคมของโลก

จึงไม่ใช่เรื่องแปลก ที่มนุษย์ส่วนใหญ่ที่ยังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน จะมีความรู้สึกนึกคิดว่าน้ำมันและพลังงานในรูปแบบเดิม จะยังคงอยู่เช่นนี้ และเป็นองค์ประกอบที่สำคัญในระบบเศรษฐกิจและสังคมของโลก ตลอดไป

ไม่แตกต่างกับ ความเชื่อมั่น ในอนาคตอันยั่งยืนของสื่อ โทรทัศน์ วิทยุ แมกกาซีน และ หนังสือพิมพ์ จนกระทั่งต้องมาเซอร์ไพรส์ทุกคนด้วยการถูกดิสรัปต์จากสื่อแห่งโลกอินเทอร์เน็ต อันได้แก่ โซเชียลมีเดีย หรือแม้กระทั่ง ความเชื่อมั่นในอนาคตอันยั่งยืนของโมเดอร์นเทรด จนกระทั่งถูกดิสรัปต์ด้วยอีคอมเมอร์สแห่งโลกอินเทอร์เน็ตเช่นกัน

ดิสรัปชั่นของพลังงาน ได้เริ่มต้นมาระยะหนึ่งแล้ว และกำลังจะเกิดผลอย่างเห็นได้ชัดเจน เมื่อพลังงานในรูปแบบใหม่ ที่ทั้งดีกว่าและถูกกว่า อาทิเช่น พลังงานลม และ พลังแสงอาทิตย์ กำลังเริ่มต้นดิสรัปต์พลังงานจากฟอสซิล เช่น น้ำมัน ถ่านหิน หรือ ก๊าซธรรมชาติ อย่างที่ไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงได้อีกต่อไป

จริงอย​ู่ พลังงานลม และ พลังแสงอาทิตย์ ล้วนไม่ใช่เรื่องใหม่ มนุษยชาติ ในยุคปัจจุบัน ต่างก็เคยได้ยินเกี่ยวกับพลังงานเหล่านี้มานานหลายทศวรรษแล้ว ในฐานะของพลังงานทดแทน ที่ถึงแม้ว่าจะดี แต่ก็มีต้นทุนที่สูงกว่าพลังงานจากฟอสซิล

นั่นกลับเป็นข้อเท็จจริง จากบทความโดย เวิลด์ อีโคโนมิค ฟอรัม ในปี 2009 พลังแสงอาทิตย์ มีต้นทุนที่สูงกว่าพลังงานจากฟอสซิลเกือบ 5 เท่า ในขณะที่ พลังงานลม มีต้นทุนสูงกว่า พลังงานจากฟอสซิล เกือบ 2 เท่า

แต่ในปัจจุบัน พัฒนาการของเทคโนโลยี ได้เกิดความก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดด ในปี 2017 พลังงานลม เหลือต้นทุนที่คิดเป็น 75% ของพลังงานจากฟอสซิล ในขณะที่ พลังแสงอาทิตย์ เหลือต้นทุนที่คิดเป็น 83% ของพลังงานจากฟอสซิล และจากนี้ต่อไป ต้นทุนของ พลังงานลม พลังแสงอาทิตย์ มีแน้วโน้มที่จะลดลงไปอีก ในขณะที่ ต้นทุนของพลังงานจากฟอสซิล มีแนวโน้มที่จะคงเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง

ด้วยเหตุผลทางด้านราคาอย่างเดียว ก็จะไม่ใช่เรื่องที่แปลกอะไร หากเรากำลังจะเข้าสู่ยุคที่ไม่ต้องใช้น้ำมันอีกต่อไป ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้ และสิ่งที่เคยถูกเรียกว่าพลังงานทดแทน ได้ถูกเปลี่ยนมาเป็นพลังงานหลัก ไม่ต่างกับการที่โซเชียลมีเดีย ที่เคยถูกเรียกว่าเป็นสื่อทางเลือก ได้ถูกเปลี่ยนมาเป็นสื่อกระแสหลัก ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

นอกเหนือจากราคา พลังงานทดแทนเหล่านี้ ยังมีคุณลักษณะที่สำคัญอีกประการหนึ่ง ที่มักจะไม่มีการพูดถึงในวงกว้าง นั่นก็คือ พลังงานลม และ พลังแสงอาทิตย์ ไม่มีการผูกขาด หรือ สัมปทาน อีกต่อไป ใครๆ ก็สามารถผลิต พลังงานลม และ พลังแสงอาทิตย์ ในต้นทุนหลักหมื่นบาท ไม่ว่าจะเป็น บริษัท ห้างร้าน ชุมชน หรือกระทั่ง ครัวเรือน ก็สามารถผลิตพลังงานใช้ได้เอง เช่นเดียวกับโซเชียลมีเดีย ที่ใครๆ ก็สามารถเป็นสื่อเองได้ โดยได้เป็นการปลดแอกครั้งสำคัญของระบบสื่อสารมวลชน

ดังนั้น ไม่เพียงแต่ จะเป็นพลังงานราคาถูก ที่ดีกว่า แต่พลังงานในยุคต่อไป ใครๆ ก็สามารถผลิตใช้เองได้ และยังไม่ต้องขึ้นอยู่กับราคาที่ถูกกำหนดขึ้นมา ที่ในปัจจุบันเป็นผลพวงมาจากการกระจุกตัวของผู้ที่สามารถผลิตพลังงานในประเทศ แต่พลังงานในยุคใหม่ จะเป็นการปลดแอกทางด้านพลังงานครั้งสำคัญ ที่ไม่มีใครจะสามารถหยุดยั้งได้อีกต่อไปแล้ว

การถกเถียงเรื่องราคาน้ำมัน เปรียบได้กับการถกเถียงเรื่องราคาประมูลของช่องโทรทัศน์ ที่สุดท้ายก็ไม่ได้มีความหมายอะไร เพราะมนุษยชาติได้ปรับเปลี่ยนเข้าสู่พลังงานทดแทน เช่นเดียวกับที่ผู้บริโภคชาวไทยได้ปรับเปลี่ยนเข้าสู่โซเชียลมีเดีย

จริงอยู่ การเปลี่ยนผ่านเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น และในขณะนี้คนไทยส่วนใหญ่ยังต้องอาศัยพลังงานจากฟอสซิลอยู่ แต่เมื่อการเปลี่ยนผ่านเกิดขึ้นแล้ว โลกจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างที่ไม่หวนกลับมาอีก ขึ้นอยู่กับใครจะมีวิสัยทัศน์มาฉกฉวยโอกาสเพื่อไขว่คว้าหาความรุ่งเรืองจากการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้