“อาชญากรรม”การใช้ทรัพยากร

“อาชญากรรม”การใช้ทรัพยากร

แปลงที่ดินไร้บ้านและบ้านไร้คนอยู่กระจายอยู่ทั่วไปในญี่ปุ่นโดยเฉพาะในเขตชนบท บนแผ่นดินที่รู้กันดีว่ามีความจำกัด

โดยมีพื้นที่เกินกว่าครึ่งหนึ่งของไทยไม่มาก แต่มีประชากรมากกว่าหนึ่งเท่าตัว สถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร บทเรียนจากเรื่องนี้ทำให้เราเห็นอะไรหลายอย่าง

ในบ้านเราที่ดินที่ร้าง สิ่งปลูกสร้างและบ้านไร้การพักอาศัยมีให้เห็นอยู่ในเมืองใหญ่ โดยเฉพาะกรุงเทพมหานครอยู่เหมือนกันอย่างน่าพิศวง ผู้เขียนเคยถามผู้รู้ก็ได้คำตอบว่าแปลงที่ดินร้างอยู่เป็นนานปีในบริเวณราคาสูงนั้น เกิดขึ้นเพราะหาตัวเจ้าของหรือทายาทไม่ได้ทั้งที่รู้ว่าใครเป็นเจ้าของแต่ไม่รู้จะติดต่อได้อย่างไร จึงเป็นปัญหากฎหมายอยู่ เข้าใจว่าเจ้าของอาจซื้อไว้นานแล้วโดยมิได้บอกใคร โฉนดก็เก็บไว้ที่ใดสักแห่ง เมื่อตายไปทายาทก็ไม่ทราบเรื่องที่ดินจึงถูกทิ้งร้างไว้(ระวังวันหนึ่งอาจมีจดหมายจากราชการบอกว่าท่านเป็นเจ้าของที่ดินราคานับร้อยล้านที่จริงเป็นพล็อตเรื่องละครตอนหัวค่ำได้สบาย)

สำหรับญี่ปุ่นนั้นปัญหาแตกต่างออกไป ในปัจจุบันมีการสำรวจและประมาณการว่า 11% ของที่ดินอยู่อาศัยหรือ 4.1 หมื่นตารางไมล์ ไม่ปรากฏเจ้าของและส่วนใหญ่อยู่ในชนบท หากไม่แก้ไขสถานการณ์ก็เชื่อว่าก่อน ปี 2040 พื้นที่นี้อาจเพิ่มอีกหนึ่งเท่าตัว มูลค่าสูญเสียสะสมอันเนื่องจากการไร้การเอาไปใช้ประโยชน์สูงถึง 56,000 ล้านเหรียญ (1.7ล้านล้านบาท)

ในต่างจังหวัดที่มีที่ดินร้างและบ้านร้างกระจายอยู่ไปทั่ว บางส่วนมาจากการอพยพหลังสงครามสู่เมืองใหญ่ บ้างก็มาจากการอพยพเข้าสู่เมืองไม่นานมานี้ ประชากรสูงอายุเพิ่มมากขึ้นจนมีการถ่ายทอดมรดกที่ดินมากขึ้น บางส่วนความเป็นเจ้าของผ่านต่อกันมาหลายชั่วคนอาจย้อนไปถึงประมาณ ค.ศ. 1860 ด้วยซ้ำ

เหตุผลสำคัญซึ่งทำให้ญี่ปุ่นแตกต่างจากประเทศพัฒนาแล้วอื่นๆ ก็คือไม่มีการบังคับให้จดทะเบียนเมื่อที่ดินเปลี่ยนมือ หากจดทะเบียนการเปลี่ยนเจ้าของก็จะต้องจ่ายภาษีในอัตรา 0.4% ของมูลค่าและต้องจ้างให้ตัวแทนดำเนินการ ซึ่งเรียกเก็บค่าธรรมเนียมสูง ยิ่งถ้ามีลูกหลานถือร่วมกันหลายคน ค่าโสหุ้ยก็ยิ่งสูงขึ้น ดังนั้นใครที่ได้รับที่ดินตกทอดมาจึงมักไม่ไปจดทะเบียน ทางการจึงไม่รู้ว่าใครเป็นเจ้าของในปัจจุบัน

หลายครอบครัวเมื่ออพยพเข้าเมืองแล้วจะได้ที่ดินและบ้านที่อยู่ห่างไกลเป็นมรดก ครั้นจะรื้อก็มีโสหุ้ยสูงอีก ทั้งต้องจ่ายภาษีทรัพย์สินรายปี ครั้นจะขายก็แทบไม่มีราคา ทางออกจึงเป็นการทิ้งร้างไว้

ที่ดินในญี่ปุ่นราคาพุ่งขึ้นสูงสุดในตอนต้นทศวรรษ1990 เมื่อฟองสบู่แตกราคา ก็ตก ที่ฟื้นตัวได้ก็เฉพาะในเมืองใหญ่ สำหรับชนบทที่มีคนอยู่ไม่มากแล้วแทบไม่มีราคา อย่างไรก็ดีในชนบทบางแห่งในปัจจุบันได้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญขึ้นมา(ขอบคุณ คนจีน คนเกาหลีใต้ คนไต้หวันและคนไทย) ราคาที่ดินก็ขยับสูงขึ้น แต่ส่วนใหญ่ก็ยังทรงตัวในราคาต่ำเหมือนเดิม

สถานการณ์เช่นนี้ทำให้เจ้าหน้าที่ทางการที่ต้องการตัดถนน สร้างทางรถไฟ หรือสร้างสาธารณประโยชน์ปวดหัวเป็นอันมาก เพราะการเวนคืนต้องหาตัวเจ้าของซึ่งไม่จดทะเบียนไว้ให้ได้ การไล่ตามหาเจ้าของแต่ละรายใช้เวลาและแรงงานสูง ที่สำคัญต้องค้นให้พบทุกรายจึงจะดำเนินการโครงการได้

เมื่อมองไปข้างหน้า สถานการณ์ที่ดินร้างและบ้านร้างจะเลวร้ายยิ่งขึ้นเพราะกรณีการตายจะยิ่งเพิ่มมากขึ้นในสังคมสูงวัย(ในปี2040 คาดว่า จะมีการตายถึงประมาณปีละ 1.67 ล้านราย) ซึ่งหมายถึงการส่งต่อมรดกที่ดินจะยิ่งมีจำนวนมากขึ้นและการทิ้งร้างจะมีมากขึ้นเป็นเงาตามตัว ตราบที่ภาษีที่ดินในชนบทไม่ลดลง

นอกจากเหตุผลของการทิ้งร้างดังกล่าวแล้ว วัฒนธรรมก็มีส่วนในการร่วมสร้างและซ้ำเติมสถานการณ์ด้วย ในสังคมญี่ปุ่นวัดและบ้านมิใช่สิ่งก่อสร้างถาวรจนมีการคิดคำนวณอายุเฉลี่ยของบ้านที่ 22 ปี (มูลค่าบ้านจะเสื่อมจนเป็นศูนย์ในเวลา 22 ปี) ความนิยมในการรื้อถอนบ้าน ทำให้มีการขายบ้านใหม่ในสัดส่วนที่สูงกว่าบ้านมือสอง(ในยุโรปและอเมริกา สัดส่วนการซื้อบ้านใหม่กับบ้านมืองสอง คือ 10-90%  ส่วนญี่ปุ่นกลับกัน) คนจำนวนมากเมื่อซื้อบ้านเก่าแล้วก็จะรื้อถอนสร้างใหม่

คนญี่ปุ่นไม่คุ้นการอยู่บ้านมือสองที่เคยเป็นของคนอื่น ชอบที่จะสร้างบ้านใหม่ ไม่ชอบบ้านคนอื่นที่อาจมีคนตายหรือฆ่าตัวตายซึ่งอาจมีวิญญาณสิงอยู่ นอกจากนี้ยังเคยชินกับการอยู่ในแถบที่เสี่ยงต่อแผ่นดินไหว จึงชอบที่จะมีบ้านที่มีมาตรฐานความมั่นคงสูงกว่าเดิมด้วยเทคโนโลยีใหม่ ดังนั้นการรื้อและสร้างบ้านใหม่จึงไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาด

บ้านในชนบทที่ทิ้งร้างไว้เพราะลูกหลานไม่ยอมรับ “มรดก” บ่อยครั้งเป็นต้นเหตุของ ไฟไหม้ การรกตาไม่งดงามเป็นระเบียบดังบ้านปกติของญี่ปุ่น และที่สำคัญที่สุด คือ ความสูญเปล่าจากการไม่ใช้ประโยชน์ ที่ดินเพื่ออยู่อาศัยของประเทศมีจำกัดจนคนส่วนใหญ่อยู่กันแออัดในบ้าน หลังเล็ก แต่มีบ้านหลังใหญ่อยู่เป็นจำนวนมากที่ถูกทิ้งว่างเปล่า

รัฐบาลญี่ปุ่นกำลังคิดที่จะบังคับการจดทะเบียนการเป็นเจ้าของที่ดิน ซึ่งหมายถึงการบังคับให้ทายาทผู้รับมรดกจำนวนมากต้องจ่ายภาษีและค่าธรรมเนียม พร้อมกับพยายามผลักดันราคาที่ดินในชนบทให้สูงขึ้น(การเปิดรับนักท่องเที่ยวที่เสรีขึ้น ก็เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามนี้) ตลอดจนการอยู่อาศัยหนาแน่นขึ้นในเขตชนบท(ไอเดียหนึ่งหมู่บ้านหนึ่งผลิตภัณฑ์ของญี่ปุ่นซึ่งเริ่มที่จังหวัด โออิตะเเต่แรกมีวัตถุประสงค์ดึงลูกหลานให้กลับภูมิลำเนา)

ไม่น่าเชื่อว่าเพียงการไม่มีกฎเกณฑ์บังคับให้จดทะเบียน เมื่อที่ดินเปลี่ยนมือและการต้องจ่ายภาษีในอัตราไม่สูงนักของมูลค่า สามารถทำให้เกิดการสูญเปล่าขึ้นได้มากมายซึ่งแท้จริงแล้วการเดินทางด้วยรถไฟเข้าสู่เมืองใหญ่โดยอยู่อาศัยในบ้านชนบทที่ไม่ถูกทอดทิ้งนอกเมืองอันเป็นผลพวงจากการเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์ใหม่เป็นสิ่งที่เป็นไปได้

การใช้ทรัพยากรอันมีอยู่อย่างจำกัดไปอย่างสูญเปล่าก็คือ อาชญากรรมโดยแท้ผลที่เกิดตามมาก็คือการทนทุกข์ทรมานต้องแออัดกันอยู่ในบ้านที่มีขนาดจำกัดในเขตเมืองโดยไม่จำเป็น