โอกาสซื้อหุ้นก่อนรัฐบาลกำหนดวันเลือกตั้ง

โอกาสซื้อหุ้นก่อนรัฐบาลกำหนดวันเลือกตั้ง

แม้ว่าการเลือกตั้งที่ถูกมองว่ามีปัญหา และไม่เป็นที่ยอมรับต่อผลเลือกตั้ง ตลาดหุ้นไทยก็ยังสามารถปรับตัวได้ดี

ล่าสุด ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้วว่า กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับที่มาของสมาชิกวุฒิสมาชิก และ สมาชิกสภาผู้แทนไม่ได้ขัดกับกฎหมายรัฐธรรมนูญหลัก นั่นหมายถึง รัฐบาลไทยน่าจะประกาศกำหนดวันเลือกตั้งในเร็วๆนี้ และจะเริ่มผ่อนคลายข้อกำหนดสำหรับพรรคการเมืองต่างๆสามารถมีกิจกรรมทางการเมืองก่อนวันเลือกตั้งที่เราคาดว่าจะกำหนดในราวไตรมาสแรกของปี 2562

ฝ่ายวิจัยฯบริษัทหลักทรัพย์บัวหลวง จำกัด(มหาชน)ได้ทำการศึกษาสถิติย้อนหลังของอัตราผลตอบแทนการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยทั้งก่อนและหลังวันเลือกตั้งว่าเป็นอย่างไร เพื่อกำหนดแนวทางในการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ อ้างอิงจากตัวเลขสถิติอัตราผลตอบแทนการลงทุนย้อนหลังกลับไปสำหรับการเลือกตั้งในประเทศไทย 10 ครั้งล่าสุดนับจากปี 2519-2554 พบว่าตลาดหุ้นไทยสามารถปรับตัวขึ้น 7 ครั้งจากการเลือกตั้งทั้งหมด 10 ครั้ง ซึ่งค่าเฉลี่ยของอัตราผลตอบแทนการลงทุนในตลาดหุ้นย้อนหลัง 90 วันก่อนวันเลือกตั้งอยู่ที่ระดับ 7.1%  และยังคงปรับตัวขึ้นต่อเนื่องภายหลังการเลือกตั้งไปอีก 30 วันก่อนที่จะถูกเทขายทำกำไรภายหลังมีการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีและประกาศนโยบายบริหารประเทศ

และที่น่าสนใจเพิ่มเติม คือ แม้ว่าการเลือกตั้งที่ถูกมองว่ามีปัญหา และไม่เป็นที่ยอมรับต่อผลเลือกตั้ง ตลาดหุ้นไทยก็ยังสามารถปรับตัวได้ดีก่อนวันเลือกตั้งในระดับ 90 วันก่อนที่จะมีการเทขายก่อนวันเลือกตั้ง เนื่องจากนักลงทุนคาดว่าจะเกิดการประท้วงไม่ยอมรับผลการเลือกตั้งก็ตาม

นอกจากนี้ ตัวเลขสถิติย้อนหลังยังบ่งชี้ว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยสามารถปรับตัวโดยเฉลี่ยได้ดีกว่าดัชนี MSCI Far-East ex Japan ได้ 2.8% อีกด้วย แสดงว่า แนวโน้มเม็ดเงินนักลงทุนต่างชาติที่ขายสะสมหุ้นประเทศไทยมายาวนานมีโอกาสที่จะไหลกลับสู่ตลาดหุ้นไทยในช่วงเวลาดังกล่าวด้วยเช่นกัน

ประเด็นคำถามคือ เราควรลงทุนในหุ้นกลุ่มธุรกิจใดดีก่อนการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น

การศึกษาของเราพบว่า กลุ่มที่ให้อัตราผลตอบแทนที่ดีนั้นมาจากกลุ่มยานยนต์ กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง กลุ่มนิคมฯ กลุ่มวัสดุก่อสร้าง กลุ่มพาณิชย์ รวมไปถึงกลุ่มสถาบันการเงิน ธนาคารต่างๆอีกด้วย ซึ่งอัตราผลตอบแทนของกลุ่มดังกล่าวจะสูงกว่าอัตราผลตอบแทนการลงทุนในตลาดหุ้นไทยโดยรวม หากพิจารณาประกอบกับมุมมองด้านปัจจัยพื้นฐาน เราพบว่ากลุ่มธุรกิจเหล่านี้ปัจจุบันล้วนมีปัจจัยสนับสนุนสำหรับราคาหุ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องยอดขาย กำไร และอัตรากำไรที่กำลังปรับตัวขึ้น รวมถึงความเป็นไปได้สำหรับการเลื่อนกำหนดวันสำหรับมาตรฐานบัญชี IFRS-9 ที่จะบังคับใช้กับกลุ่มธุรกิจการเงินออกไป

ขณะที่ปัจจัยระยะสั้น ตลาดหุ้นไทยอาจผันผวนจากปัจจัยภายนอกประเทศอยู่บ้าง แต่เราประเมินว่า สุดท้ายอัตราผลตอบแทนการลงทุนสำหรับตลาดหุ้นไทยน่าจะยังมีรูปแบบเคลื่อนไหวไปตามสถิติในอดีตที่เราศึกษามา ดังนั้น เราประเมินว่าตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวลดลงระยะสั้นมาที่ระดับ 1720 จุดน่าจะเป็นโอกาส 'ซื้อ' สำหรับนักลงทุนมากกว่า