ไอ้ตัวดูด

ไอ้ตัวดูด

ไอ้ตัวดูด

จะชอบหรือไม่ชอบ การเมืองไทยเขาก็ ดูดกันไป ดูดกันมาเช่นนี้ทุกยุคทุกสมัย วันนี้ผมเลยได้อารมณ์ อยากเล่าเรื่องของ การดูด ว่าไม่ใช่มีเฉพาะการเมืองเท่านั้น แต่มีการดูดประเภทอื่นที่น่าสนใจอีกด้วย

พอจะจำได้ไหมครับว่า เมื่อประมาณปี 2547-2548 ราคาเหล็กทั่วโลกแพงมาก เพราะจีนกำลังเร่งก่อสร้างสนามกีฬาและอาคารต่างๆมากมาย เพื่อเตรียมรับการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก 2551 ซึ่งจีนเป็นเจ้าภาพ วงการเหล็กขณะนั้นพูดกันว่า เหล็กจากแหล่งต่างๆถูก ดูด ไปเมืองจีน จนเกือบหมดเกลี้ยง

เวลาผ่านไปหลายปี วันนี้ เรากำลังบ่นกันว่าปีนี้ ทุเรียนแพงมาก เพราะคนจีนสั่งซื้อมากมาย แถมยังจองไว้สำหรับปีหน้าแล้ว 800,000 ลูก นี่แหละ คือ พลังแห่งการดูดของจีน อีกแบบหนึ่ง

ประเทศที่มีประชากร 1.400 ล้านคน เวลาเขาต้องการบริโภคอะไร เขาก็สั่งซื้อทีละมากๆ จนสินค้ามีไม่เพียงพอ ราคาสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และสินค้านั้นก็จางหายไปจากตลาดของผู้ผลิตอีกด้วย เป็นไปตามหลักของอุปสงค์อุปทาน ไม่มีอะไรผิดปกติเลย

ขณะนี้ ความต้องการไม่ได้เพิ่มสูงขึ้นเฉพาะ ผลทุเรียน เท่านั้น แต่ความต้องการ กล้าทุเรียน ก็เพิ่มขึ้นอย่างมากด้วย เพราะเมื่อทุเรียนราคาแพง ก็มีผู้สนใจนำไปปลูกมากขึ้น

การที่จีนดูดเหล็ก หรือดูดทุเรียน เราได้เห็นกันชัดเจนอยู่แล้ว แต่กระแสการดูดที่เริ่มต้นขึ้นแล้ว และคนไทยส่วนใหญ่อาจจะยังไม่รู้สึกเท่าใดนัก ก็คือการ ดูดผู้หญิง

แล้วใครเป็นตัวดูดล่ะ จะเป็นใครอื่นไปไม่ได้นอกจากจีนเจ้าเก่า แล้วคราวนี้ยังแถมด้วยอินเดีย เจ้าใหม่อีกด้วย 

อย่าเพิ่งตกใจ หรือหวั่นใจ ว่ากำลังมีขบวนการหลอกลวงหญิง ที่เป็นไปในทางมิดีมิชอบนะครับ ที่มาของเรื่องนี้มันเกิดจากความต้องการพื้นฐานของมนุษย์เรา คือความต้องการมีคู่สมรสและสร้างครอบครัว 

ที่มาของปัญหาก็คือนโยบาย ลูกคนเดียวหรือ “One Child Policy” ซึ่งเป็นกฏเหล็กของประเทศจีน ที่เริ่มใช้บังคับมาตั้งแต่ พ.ศ 2522 ทำให้คนจีน ซึ่งประเพณีและวัฒนธรรม นิยมทายาทสืบตระกูลที่เป็นลูกชาย และมีความประสงค์อย่างแรงกล้า ที่จะได้ลูกชาย ไม่ปรารถนาลูกสาว จนบางครั้งมีเรื่องราวอันน่าสลดใจเล่าสู่กันฟังว่า บางครอบครัวถึงกลับแอบทำลายลูกสาว จนกว่าจะได้ลูกชายสมความปรารถนา

เมื่อวันเวลาผ่านไปถึง 36 ปี จีนจึงตระหนักว่า นโยบายลูกคนเดียวคงใช้ต่อไปไม่ได้แล้ว ดังนั้นเมื่อปี 2558 คือ 2 ปีที่ผ่านมานี้เอง จึงได้ปรับเปลี่ยนนโยบาย ให้ยืดหยุ่นขึ้น 

แต่ก็ช้าไปเสียแล้วในเชิงของประชากรศาสตร์ เพราะขณะนี้ คนจีน 1,400 ล้านคน มีผู้ชายมากกว่าผู้หญิง ถึง ​​​​​​​​34 ล้านคน เท่ากับจำนวนครึ่งหนึ่งของประชากรไทย เลยทีเดียว 

ผู้ชายเหล่านี้ ทั้งเหงา ทั้งถูกกดดันจากครอบครัวและสังคม ว่าเมื่อใดจะมีภรรยาและสามารถสร้างครอบครัวได้ คนที่เป็นชายโสด ก็อาจถูกมองว่าไม่มีความสามารถแม้กระทั่งจะสร้างครอบครัว รวมถึงพวกเขายังไม่มีโอกาสตอบสนองความต้องการทางเพศอีกด้วย ฯลฯ เหล่านี้กลายเป็นปัญหาสังคมที่น่ากลัว

ในขณะที่ผู้หญิง ซึ่งในอดีต เป็นเพศที่หลายๆครอบครัวไม่ต้องการ วันนี้กลับกลายเป็น ผู้เลือกว่าเธอจะเลือกชายใดเป็นคู่ครอง และผู้เลือกย่อมรอเวลาได้เสมอ จนกว่าจะได้คู่ครองที่ดีที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาพที่มีชายจำนวนมากให้พิจารณา อันนี้เป็นเรื่องธรรมดา

ประเทศไทยเราเอง ถึงแม้สัดส่วน ชาย:หญิง จะพอๆกัน แต่ก็ยังอุตส่าห์ฺมีคนส่ง เรื่องขำขัน มาทางไลน์ ทำนองว่า ผู้ชาย 100 คน ไปเป็นพระบ้าง นักโทษบ้าง แปลงเพศบ้าง มีแฟนเป็นเพศเดียวกันบ้าง ฯลฯ เหลือผู้ชายจริงๆให้หญิงไทยเลือกได้ ไม่กี่คนเท่านั้น เพราะฉะนั้นหญิงไทย ไม่ได้มีผู้ชายให้เลือกมากมายนักนะ....อะไรปานนั้น

แต่ชายจีนจำนวนมากมาย ที่ไฝ่หาคู่ครองอย่างจริงจัง พวกเขากลับพบว่าชีวิตนี้ยากนักที่จะประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลุ่มชายที่ฐานะเศรษฐกิจ และความรู้ไม่สูง ดังนั้นพวกเขาจึงพยายามทุกวิถีทาง เมื่อหาหญิงจีนในเมืองจีนไม่ได้ การหาภรรยาที่เป็นคนชาติอื่นจึงเป็นอีกทางเลือกใหม่ และแน่นอนว่า ในระบบทุนนิยม ถ้ามีอุปสงค์ที่ไหน ก็มีบริการนำเสนออุปทานให้ เสมอ

หลายปีที่ผ่านมา จึงมีรายงานว่าสาวเขมร สาวเวียดนาม ฯลฯ รวมไปถึง สาวตะวันตกบางชาติ ได้เข้าไปแต่งงานกับหนุ่มจีน และเป็นเรื่องธรรมดาว่าบางคนก็ลงเอยอย่างมีความสุข บางคนก็ทุกข์ รวมทั้งมีรายงานจากสื่อว่า บางคนก็ถูกทำร้ายทารุณ อีกด้วย ฯลฯ

ส่วนอินเดีย ซึ่งมีประชากร 1,350 ล้านคน น้อยกว่าจีนเพียงนิดเดียว ถึงแม้จะไม่ได้มีนโยบายลูกคนเดียว แต่โดยวัฒนธรรม คนอินเดียก็นิยมลูกชายเช่นกัน และ 30 ปีที่ผ่านมา มีเทคโนโลยีในการเลือกเพศทารกได้ด้วย ก็เลยเลือกผู้ชายมากกว่าผู้หญิงเช่นกัน จนถึงเวลานี้ ชายหนุ่มอินเดียที่ว้าเหว่ ต้องการสร้างครอบครัว และมีปัญหา ไม่แตกต่างจากหนุ่มจีน จึงมีมากถึง 37 ล้านคน มากกว่าชายจีนไร้คู่เสียอีก

กระแสจากจีนและอินเดีย ในการ ดูดผู้หญิง จากประเทศอื่นไปเป็นคู่ครอง ยังคงดำเนินต่อไป และอาจจะเห็นชัดเจนมากยิ่งขึ้นในเวลาอีกไม่นานนัก ชายไทย จึงควรรู้สึกว่าตนนั้นเป็นผู้โชคดี และน่าจะรู้สึกดีใจ ที่ไม่ได้ประสบปัญหาเช่นนี้ เหมือนหนุ่มจีนและอินเดีย

เรามาสนใจกันดีกว่าว่า ต่อไปข้างหน้าหญิงไทยจะมีโอกาสถูกดูด ไปในกระแสนี้มากน้อยเพียงใด ถ้าหากเธอไปด้วยความรัก ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเธอถูกดูดไปเพราะปัจจัยเศรษฐกิจ ตรงนี้เราทั้งหลายควรช่วยกันป้องกันและแก้ไขได้

แต่จะแก้ไขได้ไหม เมื่อคนที่เป็นหลักในการแก้ไข ก็คงต้องเป็นนักการเมือง ที่มากำหนดทิศทางของประเทศ แต่พวกเขาหลายคนก็กำลังถูกดูดเสียเอง...

ไม่รู้ว่าดูดด้วยพลังแห่งรัก หรือพลังเศรษฐกิจ