“กฎแห่งกรรมที่มาเลเซีย”

“กฎแห่งกรรมที่มาเลเซีย”

ใครที่ติดตามการเมืองมาเลเซียคงต้องทึ่งกับการเปลี่ยนแปลงของการเมืองที่เกิดขึ้นเร็วมากช่วง 2 สัปดาห์หลังการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 9 พ.ค.

หนึ่ง นำมาสู่การเปลี่ยนรัฐบาล จากเดิมที่พรรคแนวร่วมแห่งชาติหรือพรรค Barisan Nasional ครองการเป็นพรรครัฐบาลมายาวนานกว่า 61 ปี แพ้การเลือกตั้งให้กับแนวร่วมฝ่ายค้านหรือแนวร่วมแห่งความหวังของพรรคฝ่ายค้านสามพรรค ภายใต้การนำของดร.มหาเธร์ โมฮัมหมัด อดีตนายกรัฐมนตรีมาเลเซียและอดีตผู้นำพรรคแนวร่วมแห่งชาติ ทำให้รัฐบาลภายใต้การนำของนายนาจิบ ราซัค ต้องหมดอำนาจลงโดยฉับพลัน และดร.มหาเธร์ โมฮัมหมัด อายุ 92 ปี กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศมาเลเซียอีกครั้ง 

สอง การอภัยโทษนายอันวาร์ อิบราฮิม ผู้นำฝ่ายค้านมาเลเซีย โดยสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งมาเลเซีย เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม ที่พรรคฝ่ายค้านมองว่านายอันวาร์ ที่ถูกคุมขังอยู่ ถูกกลั่นแกล้งโดยอดีตนายกรัฐมนตรีนาจิบ ราซัค ที่ต้องการกำจัดนายอันวาร์จากการเมือง และพร้อมกับการปล่อยตัว นายกรัฐมนตรีมหาเธร์ ก็ประกาศจะขอนั่งตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเพียงสองปี และจะส่งอำนาจบริหารประเทศให้กับนายอันวาร์ต่อไป ขณะที่นายอันวาร์บอกว่า ต้องการใช้เวลาอยู่กับครอบครัวก่อน อยากเดินทางไปต่างประเทศ สอนหนังสือ และยังคงสนับสนุนนายกรัฐมนตรีมหาเธร์ให้ดำรงตำแหน่งต่อไป 

สาม วันที่ 12 พ.ค. ตำรวจมาเลเซียทำการตรวจค้นบ้านนายนาจิบ ราซัค อดีตนายกรัฐมนตรี และสถานที่อื่นๆรวมห้าแห่ง หลังอดีตนายกรัฐมนตรีและภริยาถูกห้ามเดินทางออกนอกประเทศ เพื่อหาหลักฐานเชื่อมโยงคดีทุจริตยักยอกเงินกองทุน 1 MDB หรือกองทุนเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติมาเลเซีย ที่นายนาจิบถูกกล่าวหาว่าโอนเงินกว่า 780 ล้านดอลล่าร์สหรัฐเข้าบัญชีตัวเอง ในการตรวจค้นนี้ อย่างที่เป็นข่าว เจ้าหน้าที่ได้เคลื่อนย้ายกล่องจำนวน 284 ใบ ที่ยึดได้ จากอาคารและบ้านพักของนายนาจิบ ซึ่งภายในกล่องมีกระเป๋าแบรนด์เนมหรูจำนวนมาก ที่ข้างในกระเป๋าเต็มไปด้วยเงินสกุลต่างชาติ เงินริงกิตมาเลเซีย และเครื่องประดับราคาแพง ล่าสุด คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตมาเลเซีย (MACC) ได้เรียกนายนาจิบเข้าให้ปากคำ 

เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นหลังผลการเลือกตั้งออกมาแบบไม่มีใครคาดคิด ว่าจะนำมาสู่การเปลี่ยนอำนาจทางการเมืองในมาเลเซียได้ มีการวิเคราะห์ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นผลจากสามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นพร้อมกัน  1.ข่าวการทุจริตคอร์รัปชันแบบมโหฬารภายใต้รัฐบาลของนายนาจิบที่โยงกับกองทุนเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติมาเลเซีย ที่บั่นทอนความน่าเชื่อถือของรัฐบาลนายนาจิบ 2.ภาวะผู้นำของนายอันวาร์ ซึ่งสามารถรวบรวมพลังของฝ่ายค้านในการเลือกตั้งได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้ตนเองจะถูกจองจำอยู่ในคุก และ  3.การปรากฏตัวของมหาเธร์ อดีตนายกรัฐมนตรีมาเลเซียที่เข้าร่วมกับแนวร่วมฝ่ายค้าน เพิ่มความน่าเชื่อถือและความชอบธรรมให้กับฝ่ายค้าน ทำให้เสียงสนับสนุนส่วนหนึ่งที่เคยสนับสนุนนายนาจิบลดลง แต่ที่สำคัญ ก็คือ ประชาชนมาเลเซียเอง ที่ต้องการเห็นประเทศมีการเปลี่ยนแปลง

ใครที่ติดตามการหาเสียงของแนวร่วมฝ่ายค้านช่วงก่อนการเลือกตั้ง จะเห็นชัดเจนว่า ฝ่ายค้านให้ความสำคัญกับ 3 เรื่องในการหาเสียง  1.ต้องการให้ประชาชนมาเลเซียใช้สิทธิเลือกผู้ที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาบริหารประเทศ  2.ต้องการหาความจริงและดำเนินการตามกฎหมายกับผู้ที่ทำผิดกรณีการทุจริตคอร์รัปชันในกองทุนเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติมาเลเซีย และ  3.ต้องการให้การเมืองในมาเลเซียเป็นการเมืองเพื่อคนมาเลเซียทั้งหมด ให้ประเทศมาเลเซียเป็นของคนมาเลเซียทั้งหมด ไม่มีการแบ่งเชื้อชาติ ว่าเป็นมาเลย์ จีน หรืออินเดีย ซึ่งทั้ง 3 ข้อนี้ตรงกับความรู้สึกของคนมาเลเซียส่วนใหญ่ที่ต้องการเห็นประเทศเดินหน้า โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญกับสิทธิ ความถูกต้อง และความเป็นประเทศ สิ่งเหล่านี้ทำให้ประชาชนมาเลเซียขณะนี้มีความคาดหวังสูงกับรัฐบาลใหม่ที่เข้ามาบริหารประเทศ ที่จะทำในสิ่งที่ได้สัญญาไว้คือ ได้คนดีมีความรู้เข้ามาบริหารประเทศ ดำเนินนโยบายที่ให้ความสำคัญกับความเป็นหนึ่งเดียวกันของคนมาเลเซีย ที่มีสิทธิ โอกาส และความเสมอภาคเท่าเทียมกัน และสืบหาข้อเท็จจริงและเอาผิดกับผู้ที่ทุจริตคอร์รัปชันในกองทุนเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติมาเลเซียตามกระบวนการยุติธรรม

ประเด็นหลังเรื่องการทุจริตคอร์รัปชันนี้สำคัญมาก เพราะเป็นเรื่องที่คนมาเลเซียรู้สึกว่าทำให้ประเทศตกต่ำลง แสดงถึงธรรมาภิบาลที่อ่อนแอในภาคการเมืองที่โยงถึงการทำหน้าที่ของบุคคลในระดับสูงสุดของรัฐบาล เรื่องทั้งหมดเกิดจากการจัดตั้งกองทุนเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติมาเลเซีย สมัยที่นายนาจิบ ราซัค เป็นนายกรัฐมนตรี และดำรงตำแหน่งประธานกองทุนนี้ด้วยตนเอง กองทุนนี้ได้กู้ยืมเงินในตลาดต่างประเทศเป็นจำนวนเงินกว่า 12,500 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ หรือประมาณ 4 แสนล้านบาท เพื่อนำไปลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการพัฒนาประเทศ แต่มีการรั่วไหลมากจากที่ไม่มีการควบคุม ทำให้เงินบางส่วนได้ถูกถ่ายเทไปใช้ประโยชน์เหมือนเป็นเงินส่วนตัว จนกองทุนไม่สามารถชำระหนี้ที่กู้ยืมมาได้

การหาข้อเท็จจริงและลงโทษผู้ที่ทำผิดเรื่องนี้ตามกฎหมายจึงสำคัญมากต่อการเดินต่อของประเทศมาเลเซียและต่อการแก้ไขปัญหาทุจริตคอร์รัปชันของประเทศ เหมือนในเกาหลีใต้ เพราะจะหมายถึงความเข้มแข็งของระบบยุติธรรมและการบังคับใช้กฎหมายที่จะสามารถนำคนผิด ไม่ว่าจะใหญ่โตขนาดไหนมาลงโทษ ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญที่สุดของการแก้คอร์รัปชัน ในการจัดอันดับภาพลักษณ์คอร์รัปชันขององค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติปีที่แล้ว มาเลเซียอยู่อันดับ 62 ดีกว่าไทยที่อยู่อันดับ 96 แต่แม้อันดับจะดีกว่า อย่างที่เป็นข่าว เราก็เห็นการละเมิดอำนาจโดยนักการเมืองและการทุจริตคอร์รัปชันอย่างมโหฬารเกิดขึ้น สะท้อนว่าอำนาจและความละโมบไม่เข้าใครออกใคร คนที่เริ่มต้นดีๆอาจกลายเป็นคนที่สามารถทุจริตได้อย่างไม่มีความละอายด้วยอำนาจและการพาไปของการเมือง ที่สำคัญ การทุจริตในขนาดดังกล่าวจะไม่สามารถทำได้ด้วยคนๆเดียว แต่ต้องอาศัยการสนับสนุนของเครือข่าย ซึ่งส่วนมากก็คือ ข้าราชการ บริษัทธุรกิจ สถาบันการเงิน ทั้งในและนอกประเทศ และคนใกล้ชิด ร่วมกันหาประโยชน์จากการละเมิดอำนาจ ทำให้คอร์รัปชันโดยนักการเมืองมักเป็นการฉ้อโกงอย่างเป็นกระบวนการบนต้นทุนความเสียหายของประเทศ

อยากจะจบด้วยคำพูดของนายอันวาร์ หลังได้รับการปล่อยตัว เมื่อถูกถามว่าคิดอย่างไรกับอดีตนายกรัฐมนตรีนาจิบ ที่กำลังถูกสอบสวนเรื่อง 1 MDB นายอันวาร์ตอบว่า มันก็คือกฎแห่งหรรม ที่คนเราต้องชดใช้ในสิ่งที่ตนทำ  (It’s like Karma, You have to pay for what you did.)