กำไรบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 1/2018
เพิ่งผ่านพ้นไปสำหรับการประกาศผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 1 ของปี 2561 โดยผลกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนทั้งหมดรวมกันอยู่ที่ 2.89 แสนล้านบาท เติบโต 15.9% เทียบกับไตรมาส 4 และ 0.6% เทียบกับไตรมาส 1 ปี 2560 โดยกลุ่มที่ผลประกอบการดีกว่าคาดมากที่สุดคือกลุ่มพลังงานทางเลือก และกลุ่มที่ผลประกอบการต่ำกว่าคาดมากที่สุดคือกลุ่มอิเล็คทรอนิคส์ ส่วนกลุ่มที่กำไรสุทธิออกมาเติบโตสูงที่สุดเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ได้แก่ กลุ่มยานยนต์ กลุ่มพลังงานทางเลือก และกลุ่มการแพทย์ และกลุ่มที่กำไรสุทธิลดลงมากที่สุดเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ได้แก่ กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม กำไรสุทธิรวมในไตรมาส 1 ที่ประกาศออกมาใกล้เคียงกับการคาดการณ์ ทำให้กำไรสุทธิรวมของปี 2561 ยังมีแนวโน้มเติบโตได้ 10 -12% เมื่อเทียบกับปี 2560
ในกลุ่มบริษัทที่ผลการดำเนินงานแย่กว่าคาดนั้น เป็นผลมาจากปัจจัยหลายประการด้วยกัน กลุ่มอิเล็คทรอนิคส์ ได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นถึง 10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ทำให้รายได้ในรูปเงินบาทลดลง อีกทั้งยังได้รับผลกระทบจากราคาทองแดงที่สูงขึ้นอีกด้วย ทำให้ gross margin ต่ำกว่าที่คาดไว้มาก กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม ได้รับผลกระทบจากการอ่อนตัวของกำลังซื้อเครื่องดื่มในประเทศ ทำให้ยอดขายเครื่องดื่มของ ICHI และ MALEE หดตัวลง ส่วนในกลุ่มอาหาร เช่น TKN แม้ว่ายอดขายจะเติบโตได้ดีจากการส่งออกไปต่างประเทศ แต่ราคาสาหร่ายที่เป็นวัตถุดิบหลักปรับตัวสูงขึ้นถึง 20% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ทำให้กำไรสุทธิออกมาต่ำกว่าคาด กลุ่มธุรกิจการเกษตรมีผลดำเนินงานออกมาลดลงกว่าช่วงเดียวกันของปีที่แล้วเช่นกัน จากราคาเนื้อสัตว์ทั้งหมู และไก่ลดลงมาก ทำให้ CPF และ GFPT มี gross margin ต่ำกว่าที่คาด สำหรับกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ผลการดำเนินงานยังออกมาไม่ค่อยดีในไตรมาส 1 โดยมีรายได้ที่ต่ำกว่าคาด จากโครงการที่อยู่ในระหว่างก่อสร้างยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น จึงทำให้บันทึกรายได้ไม่มากนัก
ในกลุ่มบริษัทที่ผลการดำเนินงานออกมาดีกว่าคาด เช่น กลุ่มยานยนต์ มาจากยอดขายสูงขึ้นจากการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมรถยนต์ รวมถึงการควบคุมต้นทุนการผลิตที่แต่ละบริษัททำได้ค่อนข้างดี กลุ่มพลังงาน นำโดย PTT และ PTTEP ประกาศผลการดำเนินงานดีกว่าคาด จากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น กลุ่มการแพทย์ ก็ประกาศผลการดำเนินงานดีกว่าคาดเช่นกัน จากการขยายตัวของโรคระบาด เช่น โรตาไวรัส ทำให้รายได้ของโรงพยาบาลสูงขึ้น ส่วน BH มีการขึ้นราคาค่าบริการ ในขณะที่ BDMS มีการควบคุมต้นทุน ทำให้กำไรสุทธิดีขึ้นเช่นกัน
กลุ่มบริษัทที่ผลการดำเนินงานออกมาใกล้เคียงคาด ได้แก่ กลุ่มพาณิชย์ ผลกำไรออกมาดีตามที่คาดการณ์จากการเติบโตของยอดขายสาขาเดิมจากการฟื้นตัวของกำลังซื้อในประเทศ การควบคุมต้นทุน และรวมไปถึงฐานกำไรที่ต่ำในปีที่แล้วจากผลกระทบของช่วงไว้อาลัย กลุ่มท่องเที่ยวเช่น โรงแรม ประกาศผลการดำเนินงานออกมาค่อนข้างดีในส่วนของธุรกิจโรงแรม โดยมีรายได้เฉลี่ยจากห้องพักเติบโต 8% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว แต่ธุรกิจอาหารยังมียอดขายร้านเดิมหดตัว เช่นเดียวกับในกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ผลประกอบการโตตามคาดจากยอดโอนมากขึ้นในส่วนของบ้านเดี่ยว และมียอดขายล่วงหน้า (presales) โตขึ้น 12% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วจากฐานที่ต่ำเช่นกัน
สำหรับมุมมองของแนวโน้มผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 2 และในช่วงที่เหลือของปีนั้น นอกเหนือไปจากกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่ผลกำไรมีแนวโน้มลดลงจากการประกาศลดค่าธรรมเนียมธุรกรรมทางอิเล็คทรอนิคส์ เราพบว่ากลุ่มบริษัทส่วนใหญ่นั้น ได้ผ่านผลประกอบการต่ำสุดไปแล้วในไตรมาสที่ 1 นี้ โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลายประการ ได้แก่ ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นในไตรมาส 1 เริ่มทรงตัวและกลับมาอ่อนค่าเล็กน้อยในช่วงไตรมาส 2 ราคาเนื้อสัตว์เช่น เนื้อหมู และเนื้อไก่ที่เริ่มทรงตัว อีกทั้งราคาน้ำมันที่สูงกว่าปีที่แล้วและยังมีแนวโน้มสูงขึ้นจากในไตรมาส 1 ก็จะเป็นตัวหนุนผลกำไรบริษัทจดทะเบียนในไตรมาสที่ 2 ให้มีแนวโน้มที่ดีขึ้น อีกทั้งตัวเลข GDP ในไตรมาส 1 ของไทยซึ่งอยู่ที่ 4.8% เป็นตัวเลขที่สูงกว่าตลาดคาดการณ์ไว้มากที่ 4% และเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดในรอบ 20 ไตรมาส เป็นตัวชี้วัดว่าเศรษฐกิจไทยผ่านพ้นช่วงฟื้นตัวและกำลังเติบโตต่อเนื่อง การที่ SET Index ปรับตัวลดลงในช่วงที่ผ่านมา จึงเป็นโอกาสในการสะสมหุ้นในกลุ่มที่กำไรมีแนวโน้มเติบโตดี และมีมูลค่าเหมาะสม