มหาอำนาจเกาหลี

มหาอำนาจเกาหลี

สถานการณ์คาบสมุทรเกาหลีที่พึ่งเปลี่ยนบทใหม่ไปเมื่อวันศุกร์ที่ 27 เมษายน นำไปสู่การคาดหวังถึงการเปลี่ยนแปลงภูมิรัฐศาสตร์

ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกหรืออาจจะทั้งทวีป หรือไปไกลกว่านั้น มีความเห็นหลายมุมมองว่าเหตุการณ์พลิกผันถึงขนาดนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร แต่ละประเทศที่เป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจะดำเนินแผนการณ์อย่างไรต่อไป สงครามที่ดูเหมือนจะไม่มีแล้วจะกลับมาเกิดขึ้นได้อีกหรือไม่ และภูมิรัฐศาสตร์ใหม่จะเป็นอย่างไร เมื่อมองถึงตรงนี้ความคิดถึง “มหาอำนาจเกาหลี” ก็ตามมา

ก็เหมือนกับโดนหลอกให้ติดตามชมหนังแอ็คชั่นสักเรื่องหนึ่ง ประธานาธิบดี Kim Jong-Un ดูเหมือนคนบ้าไม่ฟังใคร ระแวงฆ่าทุกคนที่ขัดใจทั้งลุงทั้งรัฐมนตรี กล้าท้าทายมหาอำนาจอย่างสหรัฐ ฯ ยิ่งกว่ารุ่นพ่อ เพราะพัฒนาอาวุธทำลายล้างสูงสำเร็จ สงครามใกล้จวนเจียนจะเกิดเต็มทีเพราะฝ่ายสหรัฐ ฯ นั้นประธานาธิบดี Donald Trump ใครก็เชื่อว่าบ้าเหมือนกัน หากฟังจากวาทะที่แกพูด แต่ทั้งสองฝ่ายก็กลับลำ 360 องศาชนิดที่ว่ารัฐมนตรีของตนก็ยังไม่เชื่อว่าจะเกิดขึ้นจริง ยิ่งประธานาธิบดีคนใหม่ของเกาหลีใต้ Moon Jae-in รักสันติภาพด้วยแล้ว ยิ่งเป็นส่วนผสมที่ลงตัว ประธานาธิบดี Kim มาเยือนปันมุนจอมอย่างสง่า ยิ้มแย้มอบอุ่น ฉลาดและเปิดกว้าง ข้อตกลงที่ตามมาจึงเหมือนอยู่ในความฝัน

ฝันเหล่านี้อาจเกิดจากเงื่อนไขหลายอย่าง เป็นไปได้ว่ารัฐบาลเปียงยางนั้น คิดได้เหมือนที่พม่าเคยคิดว่าพึ่งพาแค่ปักกิ่งนั้นนานไปไม่รอดแน่ การขยายตัวของทุนนิยมจีนยุคนี้ยิ่งกว่ายุคใดมีหวังกลืนกินประเทศของตนหมดตัว เลยจำต้องหาผู้มีขีดความสามารถพอฟัดพอเหวี่ยงจีนมาคาน แม้ว่าจะเป็นศัตรูกันมานานก็ตาม ยุทธศาสตร์นี้ต้องทุ่มตัวเข้าสู่จุดเสี่ยงสูงสุดและดึงตัวออกมาโดยปลอดภัย มีเขี้ยวเล็บเพียงพอที่ศัตรูไม่กล้าตอบโต้จริง เมื่อได้ผลในที่สุดก็แบไต๋ปรองดอง เหตุผลที่ สหรัฐ ฯ กระโดดงับแผนนี้ไม่ใช่เพราะตามเชิงคิมไม่ทันแต่น่าจะเป็นเพราะตนเองมียุทธศาสตร์แอบแฝงอยู่แล้ว และแผนการณ์ของสหรัฐ ฯ อาจจะนำไปสู่สิ่งที่จั่วหัวไว้ข้างบนคือ “มหาอำนาจเกาหลี”

สหรัฐ ฯ นั้นมีเป้าหมายหลักที่จะโอบล้อมจีนอยู่เสมอ เกาหลีเหนือเป็นแค่เป้าหมายรองที่ พอคุมได้สหรัฐ ฯ ประจำการกำลังร่วมครึ่งแสนไว้ที่เกาหลีใต้กับญี่ปุ่นเพื่อจ่อคอหอยจีน รัฐบาลจีนก็ทราบ จึงปล่อยให้เกาหลีเหนือเล่นบทอันธพาลมาค่อนศตวรรษ เพื่อตรึงกองกำลังพันธมิตรไว้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม ภาพสงครามเย็นแห่งตะวันออกไกลนี้เป็นภาพที่ค่อย ๆ เปลี่ยนไป  เพราะขณะนี้จีนพัฒนากองทัพอย่างก้าวกระโดด ขยายศักดานุภาพไปทั่วทะเลจีนใต้โดยแม้แต่สหรัฐ ฯ ก็ยังไม่กล้าใช้กำลังผลักดัน อิทธิพลจีนทั้งการเมืองและเศรษฐกิจก็กว้างขวางไปทั่วโลก บั่นทอนอิทธิพลของสหรัฐ ฯ มิใช่เล่น ขณะเดียวกัน การสู้รบรอบใหม่ในตะวันออกกลางก็ปะทุขึ้นมาอีก ไม่จบไม่สิ้นเสียที สหรัฐ ฯ คงไม่สามารถฉีกตัวมารับภาระด้านตะวันออกไกลได้ เพราะปรปักษ์ที่แท้ในทะเลทรายนั้นจะไม่ใช่พวกหัวรุนแรงไร้ชาติไร้สติ แต่ใกล้จะเป็นเสือสิงห์ที่กินกันไม่ลงอย่างรัสเซียและอิหร่าน ดังนั้นการผลักดันให้กองทัพญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ตลอดจนกล่อมไม่ให้ชาติอาเซียนคล้อยตามกระแสจีนมากนักจึงเป็นเรื่องจำเป็น

การที่เกาหลีใต้กลายเป็นชาติพัฒนาได้ทุกด้านทั้งที่มีญี่ปุ่นกับจีนขนาบข้างนั้นเป็นเรื่องมหัศจรรย์มาก ตลอดประวัติศาสตร์ชาวเกาหลีเป็นรองมาโดยตลอด แต่ด้วยพลังฮึดของคนสองสามรุ่นหลังที่ทำให้พวกเขาก้าวขึ้นมาทัดเทียมหรือเหนือกว่าจีนและญี่ปุ่นได้  อุปสรรคหนึ่งของพวกเขาคือความรู้สึกว่าถูกเกาหลีเหนือจ่อคอหอยอยู่ หากฝ่ายเหนือกลับมาญาติดีแล้ว ปัญหาการรวมชาติก็จะเกิดขึ้นว่าทำยังไงจึงจะรองรับความแตกต่างของทั้งสองฝ่ายได้ครบทุกมิติ หลายฝ่ายกังวลว่าเกาหลีเหนือที่ทั้งเป็นเผด็จการ ทั้งเศรษฐกิจตกต่ำ จะฉุดให้เกาหลีใต้ทรุดไปด้วย แต่อย่าลืมว่าทั้งสองฝ่ายวางแผนเรื่องการรวมชาติกันมาหลายสิบปีแล้ว คนเกาหลีเหนือมีวินัยและอดกลั้นสูง ทรัพยากรและพื้นที่บุกเบิกก็มีมาก การรวมชาติอาจไม่ใช่หายนะก็ได้ หากเกาหลีใต้กับเกาหลีเหนือรวมกันได้ ในเรื่องของอาวุธประเทศนี้จะเป็นมหาอำนาจทางทหารประเทศหนึ่ง ขณะที่ด้านอื่น ๆ ก็ค่อยๆ สร้างเสริมพัฒนากันไปท่ามกลางความหวั่นใจของจีนและญี่ปุ่น ภายในสิบปีหลังรวมชาติ ตะวันออกไกลอาจเป็นสามก๊กที่ชัดเจนจนอุ่นใจสหรัฐ ฯ ว่าจะไม่มีประเทศหนึ่งประเทศใดใหญ่เหนือใครในน่านน้ำแปซิฟิกได้

แน่นอนว่ายังมีอุปสรรคมากมายที่ทุกอย่างยังเป็นแค่ฝัน เช่น พวกข้าราชการประจำหัวอนุรักษ์นิยมในเพนตากอนและวอชิงตันจะคัดค้านขนาดไหน ทรัมป์จะพลิกเกมอีกไหมในการพบปะกับคิมเดือนหน้านี้ จีนจะรอให้สองเกาหลีเขาดีกันจริง ๆ เหรอ คนเกาหลีใต้รุ่นใหม่จะรับได้เพียงไรกับการที่เกาหลีเหนือจะกลับมาดีกันจริงๆ แล้วทหารเกาหลีเหนือที่ถูกฝึกมาทั้งชีวิตล่ะจะปรับตัวปรับความคิดอย่างไร แน่ใจนะว่าจะไม่มีปฏิวัติกลางเมืองในอีกไม่นานนี้ อย่างไรก็ตาม รอยยิ้มที่ประธานาธิบดีคิมและประธานาธิบดีมูนมีให้แก่กันเมื่อ 27 เมษายน 2561 ยังพอเปิดโอกาสให้คืนนี้และคืนต่อไปมีความหวังความฝันถึงอนาคตและสันติภาพบนคาบสมุทรเกาหลีมากกว่าคืนไหน ๆ ในประวัติศาสตร์ก่อนหน้า