ปรับกลยุทธ์รับสงครามการค้า

ปรับกลยุทธ์รับสงครามการค้า

ปรับกลยุทธ์รับสงครามการค้า

เราเดินทางมาถึงช่วงเดือนที่ 5 ของปีนี้แล้วนะครับ ..หากนับจากต้นปีมาถือเป็นระยะเวลามากพอที่เราจะเห็นแล้วว่าพอร์ตการเงิน การลงทุนมีการเติบโตขึ้นลงหรือเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง และจะลงทุนกันอย่างไรต่อไป ซึ่งนั่นเราก็ต้องมาดูสถานการณ์ต่างๆประกอบกัน  ในตอนที่แล้วผมได้เล่าปัจจัยลงทุนที่สำคัญๆพร้อมกับแนะนำพอร์ตการลงทุนสำหรับไตรมาสที่ 2 กันไปนะครับด้วยมุมมองที่ว่าราคาหุ้นมีการปรับตัวลงมากเป็นโอกาสเข้าซื้อลงทุนได้ แต่ ณ ปัจจุบันหลังจากผ่านช่วงเทศกาลสงกรานต์มาหุ้นไทยปรับตัวขึ้นไปมากถึง 1,800 จุด ดังนั้นทิศทางของสินทรัพย์จะเป็นอย่างไร เราจะมีกลยุทธ์ลงทุนยังไงกันต่อไปยังไงดี ผมจึงอยากให้ข้อมูลและคำแนะนำดังนี้ครับ ....

 ทั้งนี้ปลายไตรมาสที่ 1 ที่ผ่านมามีปัจจัยจากต่างประเทศค่อนข้างจะกดดันการลงทุนมากพอสมควร แต่ ณ ตอนนี้ผลกระทบค่อนข้างจะเบาบางลงและสะท้อนไปในราคาหุ้นทั่วโลกแล้ว แต่ประเด็นที่ผมคิดว่าต้องติดตามใกล้ชิดอย่างต่อเนื่องคือ เรื่อง ”สงครามการค้า” ของสหรัฐฯกับจีนรวมถึงกับประเทศอื่นๆ แม้ปัจจุบันดูเหมือนยังๆไม่มีอะไรชัดเจนมากขึ้นในแง่ของการดำเนินการนโยบายเพิ่มเพดานภาษีการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯที่ต่างประกาศรายชื่อสินค้าที่จะมีการเก็บภาษีระหว่าง 2 ประเทศและผลกระทบในระยะสั้นอาจจะดูชัดแต่สำหรับนักลงทุนควรให้ความสนใจกับผลกระทบในระยะยาวด้วยเพราะจะช่วยในการวางแผนลงทุน

โดยเมื่อมองถึงการลงทุนแล้วจะเห็นได้ว่าการตอบโต้ทางการค้าของจีนกับสหรัฐฯ ส่งผลกระทบต่อกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ ซึ่งกลุ่มอุตสากรรมที่ประเทศสหรัฐฯจะได้รับผลกระทบ ได้แก่ กลุ่มสินค้าเกษตร เช่น ถั่วเหลือง ซึ่งจีนเป็นผู้นำเข้ารายใหญี่ที่สุดของสหรัฐฯ กลุ่มอุตสาหกรรมรถยนต์และอากาศยาน อุปกรณ์สื่อสาร เชื้อเพลิงอุตสาหกรรมและกระทบไปถึงผู้บริโภคของสหรัฐฯ

ขณะที่ผลกระทบต่อประเทศจีนนั้นกลุ่มเทคโนโลยีและการสื่อสาร,อุปกรณ์อิเล็คทรอนิคและคอมพิวเตอร์,รถยนต์และกลุ่มสินค้าเกษตร จะได้รับผลกระทบ นอกจากนี้กลุ่มประเทศยุโรปผลกระทบอาจจะมีต่อกลุ่มอุตสาหกรรมรถยนต์,ยาและเวชภัณฑ์และชิ้นส่วนอุปกรณ์ทางการทหาร

อย่างไรก็ตามจะมีกลุ่มธุรกิจที่คาดว่าจะไม่ได้น่าจะได้รับได้ผลกระทบในสถานการณ์สงครามการค้านี้ได้แก่กลุ่มธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น (Consumer Staple) และกลุ่มธุรกิจด้านสุขภาพ (Healthcare) ซึ่งจะเป็นที่น่าจะยังให้ผลตอบแทนดี

โดยสรุปแล้วเรื่องสงครามการค้าที่ยังไม่มีข้อสรุปชัดเจนจะเป็นปัจจัยที่ทำให้ตลาดมีความผันผวนและส่งผลต่อสินทรัพย์เสี่ยงได้ในระยะต่อไป และเมื่อมองมาถึงตลาดหุ้นไทย ระดับราคาหุ้นที่ขึ้นมาอยู่ในระดับ 1,800 จุดอีกครั้งนั้น ถือว่าขึ้นมาเร็วมากจากก่อนหน้านี้ที่ลงไปอยู่ที่ระดับ 1,720 จุด ด้วยมุมมองดังกล่าวข้างต้น ผมอยากขอแนะนำพอร์ตลงทุนที่สอดคล้องกับภาพรวมตลาดในตอนนี้ นั่นคือลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นลงจากเดิมที่ผมแนะนำอยู่ที่ 30-60% ให้เหลือ 20-40% เน้นหุ้นไทยกับสหรัฐฯและยุโรป ไปเพิ่มสินทรัพย์อย่างอสังหาริมทรัพย์ REIT ในประเทศไทยจากเดิมที่ 5% เป็น 10-15%  สินทรัพย์น้ำมัน ทองคำถือคงที่ไว้ประมาณ 10-20%  และที่เหลือคือลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นเพิ่มขึ้นประมาณ 20-30%  ครับ

ปรับกลยุทธ์รับสงครามการค้า

ผมอยากฝากทิ้งท้ายว่า การลงทุนในระยะนี้ตลาดมีความผันผวนค่อนข้างมาก นักลงทุนทุกท่านควรจับตาสถานการณ์ต่างๆให้ดีและติดตามข่าวสาร บทวิคราะห์และคำแนะนำการจัดสินทรัพย์ลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งทุกท่านสามารถติดตามได้ผ่านทาง www.ktbst.co.th และ www.facebook.com/ktbst.th ครับ

และเพื่อให้เป็นการต่อเนื่องในประเด็นสำคัญ ในตอนต่อไปผมจะพูดถึงเรื่องภาวะดอกเบี้ยของสหรัฐฯกันต่อว่า ทิศทางจะเป็นอย่างไร เราจะต้องปรับกลยุทธ์ วางพอรต์ลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงกันอย่างไรกันดีในภาวะที่อัตราดอกเบี้ยเริ่มเป็นขาขึ้นมีการเปลี่ยนแปลงครับ ... นักลงทุนสนใจติดต่อขอคำปรึกษาการลงทุนได้ที่ KTBST 02-648 1449 / 02- 648 -1747

ติดตามข่าวสารเรื่องการลงทุนที่น่าสนใจจาก KTBST Private Wealth Management ได้ที่

www.ktbst.co.th และ www.facebook.com/ktbst.th