Startup-Shutdown

Startup-Shutdown

Startup-Shutdown

การเปิดซื้อขาย Jfin Coin ซึ่งน่าจะเป็นเงินดิจิตอลแรกของไทยที่ “เป็นเรื่องเป็นราว” เมื่อสัปดาห์ก่อนนั้นดูเหมือนว่าจะ  “น่าผิดหวัง”  ราคาซื้อขายในวันแรกตกลงมาจากราคา ICO ถึงครึ่งหนึ่งและปิดที่ประมาณลบ 40%  ทั้ง ๆ  ที่ในช่วงออกขายครั้งแรกนั้นหลายคนแอบคาดหวังว่ามันอาจจะปรับตัวขึ้นมากคล้าย ๆ  กับเงินดิจิตอลอื่น ๆ  เช่นบิทคอยหรืออีเธอเรียม  อย่างไรก็ตาม  หลังจากที่ภาครัฐ  “ไม่สนับสนุน”  การระดมเงินแบบนี้เนื่องจากเห็นถึงความเสี่ยงต่าง ๆ  ที่จะเกิดขึ้นหากปล่อยให้มีการระดมเงินและซื้อขาย “เหรียญ”  แบบนี้ได้อย่างเสรี  ผลก็คือ  “แรงเก็งกำไร” ที่คนคาดว่าจะมีก็หายไปจนหมดสิ้นในขณะเดียวกันเรื่อง “พื้นฐาน”  ของเหรียญนั้น  แทบจะไม่มีอยู่แล้ว  เพราะเหรียญไม่ได้ให้ผลตอบแทนเป็นเงินแก่ผู้ที่ถือ  มันแค่เป็นสื่อกลางในการซื้อขายแลกเปลี่ยนที่ราคาขึ้นอยู่กับ Demand-Supply ของคนที่ต้องการซื้อและขาย  ดังนั้น  ราคาก็สะท้อนออกมาว่าในช่วงนี้คนยังไม่เห็นว่าใครจะต้องการเหรียญ  เราคงต้องรอต่อไปว่าเงินที่ระดมไปใช้นั้นสุดท้ายแล้วสามารถสร้างประโยชน์แก่คนถือเหรียญได้จริง ๆ  หรือไม่  อย่างไรก็ตาม  นี่ก็ไม่ใช่การ  “จบเกม”  หรือการ  “Shutdown”  ปิดตำนานของการทำธุรกิจแบบ “Startup” ของคนที่ทำหรือของไทย  แต่นี่ก็เป็นเครื่องเตือนให้เรารู้ว่า  การลงทุนในธุรกิจ Startup นั้น  มีความเสี่ยงแค่ไหน

ความเสี่ยงของธุรกิจ Startup นั้น  ผมคิดว่ามันสูงมากจนไม่เหมาะกับคนทั่วไป  มันควรเป็นเรื่องของ  “เซียน” ที่มีความสามารถในการวิเคราะห์อย่างลึกซึ้งจริง  นอกจากนั้น  การลงทุนในสตาร์ทอัพแต่ละรายก็ควรเป็นเงินเพียงน้อยนิดเมื่อเทียบกับเงินลงทุนทั้งหมดในพอร์ตซึ่งทำให้ถ้าขาดทุนและเงินสูญไปทั้งหมดก็ไม่เกิดความเสียหาย  คนที่จะลงทุนในสตาร์ทอัพเป็นเรื่องเป็นราวเองนั้นก็ควรที่จะมีการกระจายความเสี่ยงอย่างกว้างขวางคือลงทุนในสตาร์ทอัพหลาย ๆ  ตัวในอัตราที่แต่ละตัวไม่ใหญ่เกินไปเมื่อเทียบกับพอร์ตของการลงทุนในสตาร์ทอัพทั้งหมด   และแม้ว่าจะเป็น  “เซียน” ผ่านการลงทุนที่ประสบความสำเร็จไม่น้อยก็จะต้องจำไว้ว่า  เมื่อลงทุนในสตาร์ทอัพแล้วก็จะต้องเตรียมพร้อมหรือทำใจไว้เสมอว่ามันอาจจะถูก  “Shutdown” หรือถูกปิดได้เสมอแม้ว่ามันอาจดูเหมือนว่าจะประสบความสำเร็จอย่างงดงามในช่วงต้น

ก่อนที่จะคิดลงทุนใน startup นั้น  ผมคิดว่าเราควรที่จะศึกษากรณีของบริษัท Theranos “สุดยอด” ของสตาร์ทอัพของอเมริกาในช่วงสิบกว่าปีก่อนที่กำลังถูก Shutdown  หรือปิดตัวลง  เพราะกรณีของ  Theranos นั้น  มันครอบคลุมทุกมิติของเรื่องของสตาร์ทอัพ  อ่านจบแล้วบางทีมันอาจจะเปลี่ยนมุมมองต่อกรณีของสตาร์ทอัพได้อย่างสิ้นเชิงเลยก็ได้   หรือไม่อย่างนั้นอย่างน้อยมันก็อาจจะช่วยให้เราคิดอย่างรอบคอบขึ้นก่อนที่จะลงทุน

 ธีรานอสเป็นบริษัทที่ก่อตั้งในปี 2004 และบริหารโดย Elizabeth Holmes อดีตนักศึกษามหาวิทยาลัย Stanford ที่ลาออกในปีสองเพื่อที่จะสร้างสตาร์ทอัพที่จะผลิตเครื่องตรวจเลือดแบบง่าย ๆ  ราคาถูกที่คนใช้อาจจะแค่เจาะเลือดที่ปลายนิ้วแล้วก็สามารถตรวจสอบได้หลายอย่างซึ่งรวมถึงสัญญาณของมะเร็งบางอย่าง  ค่าคลอเรสเตอรอล  และระดับน้ำตาลในเลือด  เป็นต้น

โฮล์มมีคุณสมบัติที่เหมาะสมกับการทำสตาร์ทอัพร้อยเปอร์เซ็นต์   เธอเป็นเด็กที่ฉลาดเฉลียวมาก  ตั้งแต่อายุ 9 ขวบ  เธอบอกกับพ่อว่าสิ่งที่เธอต้องการในชีวิตก็คือการค้นพบอะไรใหม่ ๆ  และเป็นสิ่งที่มนุษยชาติไม่รู้ว่าจะทำได้  ในช่วงวัยเด็ก  โฮล์มเรียนเก่งมาก  และได้รางวัลและทุนทำวิจัยจากมหาวิทยาลัยโดยเฉพาะการทำงานกับศาสตราจารย์ในด้านของการตรวจและวินิจฉัยเลือดและนั่นนำมาสู่การตั้งบริษัทใน “หอพักนักศึกษา”  และเช่าเครื่องมือทำแล็บพร้อมพนักงานคนแรกด้วยเงินเก็บจากทุนทำงานวิจัยของมหาวิทยาลัย  เวลานั้นโฮล์มอายุแค่ 19 ปี พอ ๆ  กับสตีฟ จอบส์ ตอนที่ก่อตั้งแอ็บเปิลคอมพิวเตอร์ที่เป็น  “ไอดอล” ของเธอ

ในช่วงปลายปี 2004 ธีรานอสก็สามารถระดมทุนได้ 6 ล้านเหรียญหรือประมาณเกือบ 200 ล้านบาทไทย  พอถึงปี 2010 เธอก็ระดมทุนได้ถึง 92 ล้านเหรียญหรือเกือบ 3 พันล้านบาทจากเวนเจอร์แค็บปิตอลที่อาจจะเริ่มเห็นว่าโครงการนี้ถ้าประสบความสำเร็จก็จะมีรายได้และกำไรมหาศาล  ปีต่อมาเธอสามารถเชิญอดีตรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐคือ George Shultz เข้าเป็นกรรมการของบริษัทหลังจากพบกันแค่ 2 ชั่วโมง ซึ่งทำให้เป็นที่ยอมรับนับถือกันทั่วไปว่าเธอเป็นคนที่สามารถก่อตั้งคณะกรรมการที่โดดเด่นที่สุดในประวัติศาสตร์ของอเมริกา  อย่างไรก็ตาม  การดำเนินงานทุกอย่างของบริษัทถูกปิดเป็นความลับสุดยอด  บริษัทไม่เคยแถลงข่าวและไม่มีเวบไซ้ต์ของตนเองจนกระทั่งถึงปี 2013 ที่บริษัทประกาศเป็นพันธมิตรกับเครือข่ายร้านขายยาและอาหารเพื่อสุขภาพวอลกรีนที่จะเปิดศูนย์รวบรวมตัวอย่างเลือด

ความสนใจของสื่อเริ่มมีมากขึ้นมากในปี 2014 เมื่อเธอขึ้นปกนิตยสารฟอร์จูน และ ฟอร์บ  ซึ่งมองว่าเธอคือ  “สตีฟ จอบส์ คนต่อไป”  ฟอร์บบอกว่าโฮล์มเป็นเศรษฐีนีพันล้านเหรียญที่สร้างด้วยตนเองที่มีอายุน้อยที่สุดในโลก  และจัดอันดับเธออยู่ในอันดับที่ 110 จากมหาเศรษฐี 400 อันดับแรก  ธีรานอสถูกประเมินว่ามีมูลค่า 9 พันล้านเหรียญหรือประมาณ 280,000 ล้านบาทไทย   โดยที่ได้เงินจากเวนเจอร์แค็บปิตอลมากกว่า 400 ล้านเหรียญหรือประมาณ 12,500 ล้านบาท ในจำนวนนี้มีนักลงทุนชื่อดังอย่างLarry Ellison ผู้ก่อตั้ง oracle ถือหุ้นด้วย  ถึงสิ้นปีนี้  โฮล์มก็มีสิทธิบัตรที่จดไว้ในชื่อของตนเอง 18 แห่งในอเมริกาและอีก 66 แห่งในต่างประเทศ  โฮล์มเองนั้นเริ่มทำตัวคล้ายสตีฟ จอบส์มากขึ้นทุกที  เธอไม่เปิดเผยว่าเทคโนโลยีของธีรานอสทำงานอย่างไร  และเธอจะเป็นคนตัดสินใจทุกเรื่องเกี่ยวกับบริษัทแบบเดียวกับสตีฟ จอบส์  แม้แต่เสื้อผ้า  เธอก็ใส่แต่เสื้อยืดคอกลมสีดำแบบเดียวกัน  เฟอร์นิเจอร์และเครื่องตกแต่งสำนักงานต่าง ๆ  ก็ใช้แบบเดียวกัน  นอกจากนั้นเธอก็ไม่เคยลาพักร้อนแบบสตีฟ จอบส์  ในช่วงนี้ดูเหมือนเธอจะดังสุด ๆ  เธอได้รับเชิญให้พูดในงานเทคโนโลยีสำคัญบนเวทีเดียวกับบิลคลินตันและแจ็คหม่าด้วย

 ในเดือนตุลาคม 2015 วอลสตรีทเจอร์นอลเริ่มรายงานว่าเครื่องตรวจสอบเลือดของธีรานอสให้ผลที่ไม่ตรง  ถึงมกราคม 2016 ศูนย์กลางทางด้านการดูแลสุขภาพของรัฐเริ่มส่งคำเตือนมายังบริษัทหลังจากตรวจสอบแล็บบางแห่งของบริษัทและเสนอห้ามไม่ให้โฮล์มให้บริการการตรวจเลือดเป็นเวลา 2 ปีเมื่อโฮล์มไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้  หลังจากนั้นวอลกรีนก็ประกาศเลิกสัญญาทำศูนย์ตรวจเลือดกับบริษัท  หน่วยงาน FDA หรือ อ.ย. ของอเมริกาก็เริ่มเข้ามาสั่งให้บริษัทยกเลิกอุปกรณ์บางอย่างที่ไม่ได้มาตรฐาน  ไม่ต้องพูดถึงการวิพากษ์วิจารณ์ในสื่อของคนที่ “ขุดคุ้ย”  ความไม่ชอบมาพากลของธีรานอส  และ “ตะปู” ตัวสุดท้ายที่น่าจะ “ปิดฝาโลง” ธีรานอสก็คือ  การเข้ามากล่าวโทษของกลต. ในเดือนมีนาคม 2018 ว่าบริษัท “หลอกลวง”  ประชาชน  แน่นอน  โฮล์มปฏิเสธข้อกล่าวหาทุกเรื่องและพยายามเรียกร้องให้สังคมเชื่อมั่นในตัวเธอและเรียกร้องให้นักลงทุนสนับสนุนทางการเงินให้แก่บริษัทต่อไป  เธอบอกว่าอุปสรรคจะต้องเกิดขึ้นเป็นปกติแต่ในที่สุดแล้วถ้าสู้ต่อ  เราก็จะเปลี่ยนโลกได้  ถึงวันนี้โฮล์มก็ยังเป็น CEO ของบริษัทได้เนื่องจากมันเป็นบริษัทเอกชน  อย่างไรก็ตาม  ดูเหมือนว่าทุกอย่างน่าจะ  “ล่มสลาย”   แล้วเพราะน่าจะยากที่จะมีใครใส่เงินเพิ่มให้บริษัทอีก

ธีรานอสนั้นเริ่มจากคนและโครงการที่ทุกอย่างดูสมบูรณ์แบบไปหมด  ดังนั้นมันก็สามารถดำเนินการมาได้และประสบความสำเร็จในแง่ของมูลค่าหุ้นของกิจการอย่างมโหฬารในระยะเวลากว่า 10 ปี  แต่แล้วทุกอย่างก็ล่มสลายลงอย่างไม่น่าเชื่อ  ดังนั้น  ถ้าเราลงทุนในสตาร์ทอัพที่ยังไม่มีอะไรเลยที่แน่ชัดนอกจาก  “สตอรี่”  มันจะยากแค่ไหน?   ผมเองไม่ได้ต้องการที่จะ Discourage หรือทำให้คนที่ทำหรือลงทุนในสตาร์ทอัพเสียกำลังใจ  ผมเองชื่นชมคนที่อยู่ในแวดวงนี้และนับถือในความกล้าหาญและเสียสละและก็ภาวนาให้ทำได้สำเร็จ  สิ่งเดียวที่ผมกังวลที่สุดก็คงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับธีรานอสนั่นก็คือ  “อย่าหลอกลวง”  ถ้าธุรกิจหรือผลิตภัณฑ์ล้มเหลวเรายอมรับได้  แต่ถ้ามีการโกงหรือหลอกลวงเรารับไม่ได้