เห็นอกเห็นใจ ... ไม่พอ

เห็นอกเห็นใจ ... ไม่พอ

ความเห็นอกเห็นใจ อันเป็นความรู้สึกของเราที่มีขึ้น

เมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว กลุ่มไทยเบฟ คือ บริษัท เวียดนามเบฟเวอเรจ ซึ่งเป็นบริษัทลูกที่ตั้งในเวียดนามของบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ชนะการประมูลซื้อหุ้นจำนวนประมาณ 54% ที่รัฐบาลเวียดนามโดยกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า (MOIT-Ministry of Industry and Trade) ถืออยู่ในบริษัท Sabeco (Saigon Alcohol Beer and Beverages Corporation) ผู้ผลิต Saigon Beer ซึ่งเป็นเบียร์ยอดขายอันดับหนึ่งของเวียดนาม โดยหลังจากการขายหุ้นจำนวนนี้ MOIT ยังถือหุ้นอยู่อีก 36% ส่วนหุ้นที่เหลือมีประชาชนเวียดนามและเอกชนรายอื่นถืออยู่ เนื่องจาก Sabeco เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของเวียดนาม

ในขณะที่กลุ่มไทยเบฟเข้าซื้อหุ้นนั้นข้อบังคับของ Sabeco กำหนดให้มีกรรมการบริษัทได้จำนวน 7 คน แต่มีกรรมการปฏิบัติหน้าที่อยู่เพียง 4 คน ซึ่งเป็นกรรมการที่เสนอโดย MOIT 3 คนและกรรมการจากผู้ถือหุ้นรายย่อยอีก 1 คน โดยกรรมการ 1 คนที่เสนอโดย MOIT นั้นทำหน้าที่เป็นประธานบริษัทด้วย โดยมีตำแหน่งกรรมการว่างอยู่อีก 3 ที่ แต่กฎหมายเวียดนามนั้นกำหนดไว้ชัดเจนว่าผู้ถือหุ้นที่ถือหุ้นเกิน 10% นั้นจะใช้สิทธิ 'เสนอ' บุคคลเข้าเป็นกรรมการบริษัทได้ก็ต่อเมื่อถือหุ้นมาไม่น้อยกว่า 6 เดือนแล้ว จึงไม่มีการแต่งตั้งกรรมการให้แก่กลุ่มไทยเบฟให้เป็นไปตามสัดส่วนการถือหุ้นที่กลุ่มไทยเบฟถือเกินกว่ากึ่งหนึ่งและไม่มีการเปลี่ยนแปลงผู้ดำรงตำแหน่ง CEO และผู้บริหารในระดับสูงอื่นๆ (ซึ่งเป็นอำนาจของคณะกรรมการบริษัท) ตามแนวทางปฏิบัติที่ยอมรับกันเป็นสากลเมื่อมีการเปลี่ยนตัวผู้ถือหุ้นที่มีอำนาจควบคุม

คนจำนวนมากที่ไม่ทราบข้อกฎหมายก็เข้าใจไปว่า MOIT ตั้งใจเล่นแง่ไม่ยอมให้กลุ่มไทยเบฟเข้าไปมีอำนาจควบคุม Sabeco แต่ในการเจรจาหลังการประมูลซื้อหุ้นสำเร็จเพื่อให้ได้อำนาจควบคุมโดยเร็ว (ซึ่งผมได้ทำหน้าที่เจรจาด้วยในฐานะเป็นที่ปรึกษากฎหมายของดีลนี้ให้แก่กลุ่มไทยเบฟ) กลุ่มไทยเบฟได้ขอให้ MOIT 'เห็นอกเห็นใจ' กลุ่มไทยเบฟที่ได้เข้ามาร่วมลงทุนใน Sabeco ด้วยเงินลงทุนถึงประมาณ 5 พันล้านเหรียญสหรัฐอเมริกาหรือ 1.6 แสนล้านบาท (เป็นการซื้อหุ้นหรือ Takeover บริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของเวียดนาม) แต่ไม่สามารถเข้ามามีอำนาจควบคุมบริษัทได้ทันทีตามแนวทางปฏิบัติสากล ส่วนกลุ่มไทยเบฟเองก็ 'เห็นอกเห็นใจ' MOIT ที่ถูกกล่าวหาหรือปรักปรำและมีความ 'เข้าอกเข้าใจ' ดีว่า MOIT ต้องทำตามกฎหมาย ซึ่งไม่มีข้อยกเว้นใดๆ แต่ก็ขอให้ MOIT พิจารณาว่าจะดำเนินการใดๆ ได้บ้างในเรื่องนี้โดยถูกต้องตามกฎหมาย

ในที่สุด MOIT ได้ตัดสินใจให้คณะกรรมการบริษัทที่เป็นตัวแทนของตนจัดให้มีการประชุมผู้ถือหุ้นของ Sabeco ขึ้นเมื่อวันที่ 23 เมษายนที่ผ่านมาและให้คณะกรรมการเป็นผู้ 'เสนอ' ชื่อคนของกลุ่มไทยเบฟเข้าดำรงตำแหน่งที่ว่างอยู่ทั้ง 3 ตำแหน่ง นอกจากนี้กรรมการของ MOIT ที่เป็นประธานบริษัทยังประกาศลาออกจากตำแหน่งกรรมการและประธานบริษัทในที่ประชุมผู้ถือหุ้นด้วย ซึ่งผลจากการออกเสียงลงคะแนน (ซึ่งไม่มีผู้ถือหุ้นรายใดคัดค้าน) ทำให้ขณะนี้กลุ่มไทยเบฟเข้าไปมีอำนาจควบคุม Sabeco โดยมีกรรมการ 3 คนจากจำนวนทั้งหมด 6 คน (ยังไม่มีการแต่งตั้งกรรมการแทนประธานที่ลาออก) และหนึ่งในกรรมการของกลุ่มไทยเบฟได้รับแต่งตั้งให้เป็นประธานบริษัท Sabeco ด้วย โดยจะมีเสียงชี้ขาดเพิ่มอีก 1 เสียงในกรณีที่คณะกรรมการลงคะแนนเสียงแล้วออกมาเสมอกัน–Casting Vote การดำเนินการของ MOIT นี้ถือเป็นสิ่งที่กระทำได้ตามกฎหมายเวียดนามเพราะคณะกรรมการเป็นผู้ 'เสนอ' ชื่อบุคคลสำหรับตำแหน่งที่ว่างไม่ใช่กลุ่มไทยเบฟซึ่งยังถือหุ้นไม่ครบ 6 เดือนเป็นผู้ 'เสนอ'

ความ 'เห็นอกเห็นใจ' (ตรงกับภาษาอังกฤษว่า Sympathy) อันเป็น 'ความรู้สึกของเรา' ที่มีขึ้นเมื่อได้ทราบสถานการณ์ที่คนอื่นประสบอยู่นั้นเป็นสิ่งที่ดีมาก แต่จะยังไม่เพียงพอที่จะทำให้คนอื่นเปลี่ยนวิธีคิดหรือวิธีการใดๆ ของเขาจนกว่าเราจะแสดงให้เขาไว้เนื้อเชื่อใจได้ว่าเรามีความ 'เข้าอกเข้าใจ' ตรงกับภาษาอังกฤษว่า Empathy) ใน 'ความรู้สึกของเขา' ต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับเขา

ความสามารถที่จะ 'เข้าอกเข้าใจ' นี้มีความสำคัญมากในการใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่นและถือเป็นคุณสมบัติสำคัญของ Negotiator ดังที่ Roger Fisher และ William Ury ได้เขียนไว้ในหนังสือคลาสสิคในสาขา Negotiation คือ Getting to Yes ว่า We need to “step into the other side’s shoes”. Seeing their point of view does not necessarily mean having to agree with it. But to not know it almost certainly makes it much harder to negotiate successfully. We need to understand not only the context and issues but the emotionally intensity people feel about it.

www.facebook/Weerawong: Wonderful Ways