ศึกชิงนิ้ว

ศึกชิงนิ้ว

ศึกชิงนิ้ว

“แจ็ค หม่าขายทุเรียน 80,000 ลูกในหนึ่งนาที”  นั่นเป็นข่าวที่พาดหัวหนังสือพิมพ์และในเว็บไซ้ต์ต่าง ๆ  เมื่อสัปดาห์ก่อนหลังจากที่แจ็ค หม่ามาพบนายกรัฐมนตรีและลงนามความร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์ที่จะส่งเสริมการค้าขายออนไลน์ผ่านแพลทฟอร์มของอาลีบาบา  เวบไซ้ต์อีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่ของจีน

ปรากฏการณ์การขายทุเรียนครั้งนี้  แม้ว่าหลายคนจะพูดว่าเป็นเรื่องของการ “สร้างภาพ” ของใครต่อใครเพราะว่าการขายทุเรียนเพียง 80,000 ลูกภายใน 1 นาทีในวัน “เปิดตัว”  นั้นไม่ได้หมายความว่าเราจะขายได้แบบนี้ตลอดไป  นอกจากนั้น  ในแต่ละปีเรามีการขายทุเรียนเป็นล้าน ๆ  ลูกอยู่แล้วผ่านระบบการซื้อขายปกติ   อย่างไรก็ตาม  ผมเองมองเหตุการณ์ครั้งนี้ว่ามีนัยยะสำคัญยิ่งยวด  มันคล้าย ๆ  กับเป็นสัญญาณหรือหลักไมล์ที่บอกว่า  E-commerce และการทำธุรกรรมต่าง ๆ  ผ่านระบบอินเตอร์เน็ตของไทยอาจจะกำลัง  “Take off”  หรือออกตัวอย่างแรงหลังจากที่คนไทยเริ่มใช้มันอย่างกระท่อนกระแท่นมาหลายปี

ในเวลาเดียวกัน  “สัญญาณการแข่งขัน”  ในเรื่องของการใช้อินเตอร์เน็ตมาแทนที่ระบบดั้งเดิมก็เกิดขึ้นทั่วไปหมด  ธุรกิจต่างก็พยายามดึงคนเข้ามาใช้ระบบใหม่ด้วยกลยุทธ์ “ตัดราคา”  และเพิ่มประสิทธิภาพให้กับผู้ใช้บริการเพื่อดึงให้คนเหล่านั้นเข้ามาสู่ระบบของตนเองโดยที่ต่างก็ยอม “ขาดทุน”  ก่อนเพราะหวังว่าเมื่อจำนวนลูกค้ามีมากขึ้นแล้วก็จะสามารถหาทางทำเงินจากเครือข่ายที่ใหญ่โตนั้นได้ในภายหลัง

สำหรับผมแล้ว  นี่คือสัญญาณว่า  “ศึกชิงนิ้ว”  กำลังเกิดขึ้น  ความหมายก็คือ   บริษัทต่าง ๆ  กำลังสร้าง Platform โดยเฉพาะในโทรศัพท์มือถือเพื่อให้ลูกค้าเข้ามาใช้บริการต่าง ๆ  โดยไม่ต้องเสียค่าบริการ  คนเพียงแต่โหลดแอ็บของบริษัทผ่าน “ปลายนิ้ว”  ก็ใช้ได้แล้ว  และหลังจากนั้น  ถ้าลูกค้ายิ่งใช้นิ้วสัมผัสกับระบบของบริษัทมากเท่าไร  บริษัทก็จะยิ่งประสบความสำเร็จมากขึ้นเท่านั้น   อาลีบาบาเองคงไม่ต้องการแค่ให้ชาวสวนหรือผู้ค้ารายย่อยขายแค่ทุเรียน  เขาต้องการให้ขายส้มโอ  มะยงชิต และผลไม้ไทยทั้งหลายผ่านระบบของเขา  ว่าที่จริง  ผลไม้ก็เป็นแค่สินค้าอย่างหนึ่งเท่านั้น  สิ่งที่เขาต้องการจริง ๆ  ก็คือ  การค้าขายสินค้าแทบทุกอย่างผ่านระบบอีคอมเมิร์ซของเขาโดยไม่มีข้อจำกัด  เขากำลังแสดงว่าถ้าเขาสามารถขายทุเรียนและผลไม้ที่มีอายุสั้นให้กับคนจีนที่อยู่ไกลเป็นพัน ๆ  กิโลเมตรได้  การค้าขายอย่างอื่นก็ง่ายและสะดวกแค่  “ปลายนิ้วสัมผัส”

อาลีบาบาไม่ใช่บริษัทเดียวที่กำลังเข้าทำศึกชิงนิ้วในตลาดไทย   E-commerce ในไทยกำลังเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วพร้อม ๆ  กับการแข่งขันจากผู้เล่น  “ระดับโลก”  ที่พร้อมจะยอมขาดทุนจำนวนมากเพื่อชิง “นิ้ว”  ของผู้บริโภคหรือผู้ขายรายย่อยไว้ก่อน   ลาซาด้าที่เข้ามาในตลาดไทยหลายปีนั้นผมคิดว่ากำลังสร้างฐานลูกค้าที่มั่นคงขึ้นเรื่อย ๆ  แต่ชอบปี้เองก็กำลังเข้ามาแข่งขันอย่างหนักเห็นได้จากการโหมโฆษณาผ่านสื่อต่าง ๆ   โดยเฉพาะทางทีวี   ในทางตรงกันข้าม  บริษัทไทยหลาย ๆ  แห่งที่เริ่มทำอีคอมเมิร์ซมาก่อนกลับไม่ประสบความสำเร็จในการดึงดูดลูกค้าให้มาใช้บริการ  เหตุผลนั้นน่าจะอยู่ที่ว่าพวกเขามักจะเป็นคนที่ขายผ่านร้านค้าดั้งเดิมอยู่แล้ว  การทำอีคอมเมิร์ซมักจะเป็นแค่ช่องทางเสริมเพื่อเอาไว้ “ป้องกันตัว” จากคู่แข่งที่ทำอีคอมเมิร์ซเป็นหลัก  ดังนั้น  พวกเขาก็ไม่ทุ่มเท  เขาไม่อยาก  “ฆ่า”  ร้านค้าของตนเองด้วยอีคอมเมิร์ซของเขา    นอกจากนั้น  เนื่องจากในช่วงแรก  อาจจะหลาย ๆ  ปี  บริษัทจะต้องขาดทุนอย่างหนักซึ่ง “บริษัทแบบดั้งเดิม”  รับไม่ได้  ถ้าทำไปราคาหุ้นจะตกหนัก  ดังนั้นพวกเขาก็มักจะทำไปอย่างช้า ๆ  และไม่ลงทุนมากเกินไป    ซึ่งตรงกันข้ามกับบริษัทไฮเท็คดิจิตอลที่คนพร้อมที่จะซื้อหุ้นในราคาแพงลิ่วแม้ว่าบริษัทจะขาดทุนหนัก  ขอแต่เพียงให้เห็นว่าลูกค้าเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วก็พอ

นอกจากเรื่องของอีคอมเมิร์ซแล้ว  เราก็เริ่มเห็น “ศึกชิงนิ้ว”  ในด้านของการให้บริการ  เฉพาะอย่างยิ่งด้านฟินเทคซึ่งเป็นเรื่องของการเงินการลงทุน  ผมรู้สึกทึ่งมากกับความรวดเร็วของการใช้แอ็บการโอนเงินของแบ้งค์  ก่อนหน้านี้คนก็ยังไม่ได้สนใจที่จะใช้มือถือทำธุรกรรมการเงินมากนัก  แต่เมื่อมีแบ้งค์บางแห่งตัดสินใจ  “ชิงนิ้ว” ของลูกค้าโดยการเสนอ  “ฟรีค่าธรรมเนียม”  ทุกแบ้งค์ต่างก็ต้องเข้ามาแข่งขัน  ดังนั้น  การเติบโตของธุรกิจทางการเงินต่าง ๆ  ผ่านมือถือด้วย “ปลายนิ้ว”  ก็จะเติบโตอย่างก้าวกระโดด

ผลกระทบที่ตามมาจาก “ศึกชิงนิ้ว”  ผมคิดว่ามีมากมาย  ธุรกิจที่จะได้ผลดีอย่างเห็นได้ชัดก็คือ Logistic หรือระบบการจัดส่งและการกระจายสินค้า  การเติบโตของบริษัทผู้นำอย่าง Kerry Express ที่เน้นการส่งสินค้าถึงบ้านคนซื้อสินค้าผ่านอีคอมเมิร์ซนั้นน่าจะมหาศาล  อย่างไรก็ตาม  ผมก็เชื่อว่าในไม่ช้าก็จะมีบริษัทอีคอมเมิร์ซขนาดใหญ่เข้ามาทำธุรกิจนี้รองรับกับธุรกิจการขายของตนเองด้วยโดยเฉพาะเมื่อเขาเห็นว่าปริมาณการขนส่งและกระจายสินค้าผ่านเครือข่ายของเขามีมากพอ

ธุรกิจที่จะถูกกระทบหนักก็น่าจะเป็นร้านค้าและผู้ขายสินค้าแบบดั้งเดิมที่อาจจะถูกอีคอมเมิร์ซแย่งลูกค้า  โดยปกติ  สินค้าที่จะถูกกระทบนั้นน่าจะอยู่ในกลุ่มราคาระดับกลางและมีมาตรฐานหรือรูปแบบที่แน่นอนมีความหลากหลายน้อย   เหตุผลที่สินค้าราคาถูกมากและลูกค้าซื้อแต่ละครั้งอาจจะไม่เกิน 100-200 บาท นั้นจะไม่ถูกกระทบก็เพราะมันไม่คุ้มค่าส่ง  ในขณะที่สินค้าแพงมากเป็นหลาย ๆ หมื่นหรือเป็นแสนบาทนั้น  ลูกค้ามักจะต้องการตรวจรายละเอียดสินค้าก่อนซื้อ  ในด้านของมาตรฐานหรือแบบของสินค้าเองนั้น  สินค้าที่มีความหลากหลายและมาตรฐานแต่ละชิ้นแตกต่างกันมากนั้น  ลูกค้าก็มักจะต้องไปตรวจสอบด้วยตนเองก่อนซื้อ  เป็นต้น

ห้างร้านและช็อบปิ้งมอลเองก็เป็นธุรกิจที่น่าจะถูกกระทบพอสมควรโดยเฉพาะเมื่อการค้าขายผ่านอีคอมเมิร์ซเป็นไปอย่างกว้างขวางมากขึ้นเรื่อย ๆ   จริงอยู่  มีความเชื่อในประเทศไทยที่มีอากาศร้อนและรถติดว่า  ยังไงคนก็ยังอยาก “เดินห้าง”  แต่ก็เป็นไปได้ว่าคนอาจจะยังเดินห้างอยู่แต่การใช้จ่ายซื้อสินค้าก็อาจจะลดลง   และเมื่อร้านค้าในห้างไม่สามารถขายสินค้าได้มากพอห้างก็ไม่สามารถคิดค่าเช่ากับร้านแพงเกินไป  ผลก็คือ  กำไรของคนที่ทำห้างร้านก็จะลดลง  จากการสังเกตในฐานะ “คนเดินห้าง”  ในระยะหลัง ๆ ช็อบปิงมอลหันมาทำร้านอาหารมากขึ้นเพราะรู้สึกว่าอาหารยังเป็นสิ่งที่ขายได้ดี   อย่างไรก็ตาม  ผมก็คิดอยู่เหมือนกันว่าในที่สุดแม้แต่อาหารก็อาจจะถูกกระทบ  เหตุผลก็คือ  ดูเหมือนว่าคนจะเริ่มสั่งอาหารส่งถึงบ้านผ่านอินเตอร์เน็ตหรือโทรศัพท์เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  ข้อจำกัดว่าร้านดังอาจจะอยู่ไกลและที่จอดรถไม่สะดวกนั้นเริ่มจะหมดไปเมื่อระบบการส่งนั้นมีประสิทธิภาพสูงขึ้นมาก

ประเด็นสุดท้ายที่ผมคิดว่าน่าจับตามองก็คือ  เรื่องของความเกี่ยวโยงกันของเทคโนโลยีดิจิตอลทั้งหลาย  การที่การพัฒนาหรือการ “ปฏิวัติ” การทำธุรกิจหรือธุรกรรมบางอย่างในอดีตเกิดขึ้นช้านั้น  บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าองค์ประกอบบางอย่างไม่พร้อม  แต่เมื่อทุกอย่างลงตัว  การเปลี่ยนแปลงก็อาจจะเร็วมาก  ยกตัวอย่างก็เช่นเรื่องของระบบการโอนเงินที่มีโอกาสที่จะถูก  “ปลดล็อก” ให้ง่ายและมีประสิทธิภาพสูงขึ้นอย่างที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ก็อาจจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเรื่องอื่น ๆ  ตามมามหาศาล  เป็นต้น